ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

กำเนิดชีวิต

๑o ม.ค. ๒๕๕๓

 

กำเนิดชีวิต
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาพูดเห็นไหม เวลาเราค้าน เราค้านเวลาพวกโยมมา บอกวิทยาศาสตร์โทษนะ เราพูดคำนี้ของเรา วิทยาศาสตร์กูดูถูกฉิบหายเลย เพราะวิทยาศาสตร์ค่าของวิทยาศาสตร์ ๙๙.๙๙ ค่าของความร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่มี แล้ววิทยาศาสตร์ก็เป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์นี้กูดูถูกฉิบหายเลย

แต่! แต่เวลากูเทศน์กูสอน กูก็สอนแบบวิทยาศาสตร์นั่นล่ะ วิทยาศาสตร์กูดูถูกฉิบหายเลยเพราะอะไรรู้ไหม เพราะวิทยาศาสตร์มันเป็นสมมุติ เป็นเรื่องโลก เป็นเรื่องทฤษฎี เป็นเรื่องค่า วิทยาศาสตร์นี่ต้องต่อยอดกันไปเรื่อยๆ มันยังไม่จบ ทีนี้มันยังไม่จบนี้ มันเป็นทฤษฎีที่พิสูจน์ที่ตายตัว

ธรรมะนี้เราบอก ถ้าพูดถึงธรรมะนะ ถ้าวิทยาศาสตร์มันเป็นสิ่งที่อธิบายได้หมด เราอธิบายถึงความทุกข์เราได้ไหม เวลาเราเสียใจเราทุกข์ใจ เราจะเขียนออกมาอธิบายให้มันครบถ้วนได้ไหม ไม่ได้หรอกจริงไหม ความรู้สึกของเราเราจะอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้หมดหรอก ความรู้สึกของเราอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์มาให้หมดสิ วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้หรอก แต่เรารู้สึกได้มากกว่านั้น

ฉะนั้นในความรู้สึกของเรา ธรรมะมันเหนือกว่าวิทยาศาสตร์ มันลึกซึ้งกว่าเยอะมาก เพราะมันมีค่าของปรมัตถ์ อย่าว่าแต่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ค่าของวิทยาศาสตร์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ไม่มีหรอก เขาต้อง ๙๙.๙๙ เผื่อผิดเผื่อพลาดของเขา แล้วจริงๆ ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์กันแค่ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ถูกต้อง ก็ว่าทฤษฎีนี้ถูกต้องใช้ได้แล้ว แค่ ๒๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง เราบอกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังไม่มีอีก

แต่ในการปฏิบัติ ธรรมะมันต้องล้านเปอร์เซ็นต์ มันต้องร้อยเปอร์เซ็นต์สะอาดขาวบริสุทธิ์เลย มีแต่จุดทศนิยมเท่าไหร่ก็แล้วแต่ กิเลสหลบจุดตรงนั้น แล้วมันนิดเดียวที่ไม่เห็นนะเหมือนเชื้อโรคเลย เวลามันกระจายออกมานะ เน่าเลย นี้ก็เหมือนกันกิเลสหลบอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ที่มันหลบอยู่นะ แล้วพอมันกระจายตัวออกมานะ เหมือนเวลาภาวนาไปแล้วจิตเสื่อม มันก็หมดแล้ว

เห็นไหมวิทยาศาสตร์มันเป็นกรอบ เราถึงบอกว่า ถ้าเอาธรรมะเป็นกรอบเป็นวิทยาศาสตร์นะตายเลย เราถึงปริยัติ ปฏิบัติ กรอบไง ทฤษฎีมันตายตัวใช่ไหม พอมันตายตัวๆ เราปฏิบัติโดยหลักที่ตายตัว อู้ฮู โทษ กิเลสบอกไอ้นี่โง่ฉิบหายเลย มึงอยู่ดีๆ ก็เข้ามาให้กูเขกหัวเล่นทุกวันเลย ก็ทำเป็นกรอบ เหมือนเราทำหน้าที่ประจำเห็นไหม พอเดินเข้าไปเซ็นชื่อนะ เขกโป๊กหนึ่ง แล้วพรุ่งนี้มาเซ็นอีก โป๊กหนึ่ง ก็อยู่ดีๆ ก้มหัวให้มันเขกทุกวันเลย

ไอ้กิเลสก็บอกว่าไอ้นี่ทำไมมันโง่ขนาดนี้ มึงทำไมไม่สำนึกตัวสักทีว้า ไอ้เราก็ว่าวิทยาศาสตร์โว้ย วิทยาศาสตร์ มันทฤษฎีมันกรอบตายตัว บนโต๊ะ ใต้โต๊ะ ความรู้สึกของเรามัน โอ้โฮ อีกมหาศาลเลย งั้นทีนี้เวลาเราสอน เราก็สอนวิทยาศาสตร์นั่นแหละ เพราะวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เราพิสูจน์ได้ มันเป็นที่ความเชื่อถือได้ มันพิสูจน์ตรวจสอบได้ นี่พอตรวจสอบได้ ธรรมะมันเป็นนามธรรม เราจะเอาเรื่องนามธรรม สิ่งที่เรารู้เราเห็น เราพูดอยู่คนเดียว เราก็เพ้อเจ้ออยู่คนเดียว ไอ้ผู้อื่นรู้กับเราไม่ได้หรอก

เราก็ต้องพูดให้เขาเข้าใจเราให้ได้ ที่เราจะพูดให้เขาเข้าใจได้ ก็ต้องพูดวิทยาศาสตร์นี้แหละ วิทยาศาสตร์มันถึงเป็นการพิสูจน์แสดงตัวของธรรมะ ธรรมะจะแสดงออกมา ด้วยเป็นวิทยาศาสตร์เพื่อให้เรารู้ เพื่อให้เราเห็น ให้จับต้องได้ แค่จับได้ พิสูจน์ได้ แต่ข้อเท็จจริงของธรรมะ เราถึงใช้คำว่า “ธรรมเหนือโลก” ธรรมเหนือโลก ธรรมที่มันเหนือกว่าความพิสูจน์ตรวจสอบเรา ที่จะเป็นความจริงอีกมหาศาลเลย อีกมหาศาลเลย ธรรมะมันถึงทะลวงเข้าไปถึงใจของเรา พยายามเข้าไปต่อสู้กับอันนั้น

ฉะนั้นเวลาเราทำสิ่งใดแล้ว เราอย่ายึดติดกับสิ่งใดทั้งสิ้น อย่างเช่นเราเจาะน้ำ เราเจาะน้ำบาดาล บ่อลึกบ่อตื้น น้ำเราอยู่ลึกขนาดไหน เราต้องทะลวงเข้าไปถึงจุดที่บ่อน้ำนั้น เราถึงจะได้น้ำนั้นมาใช้ ธรรมะคุณธรรมของเรา มันอยู่ตื้นอยู่ลึก บางคนอยู่ตื้นๆ พอปฏิบัติไป มันก็เข้าใจได้ อย่างลูกเรา สอนทีสองทีคนนี้เป็นคนดีนะ บางคนเห็นไหมพูดปีหนึ่งก็แล้ว สองปีก็แล้ว มันลึกมากก็ต้องลึกๆ หน่อย มันไม่มีอะไรตายตัวหรอก ไม่มีอะไรตายตัว นี่ไงธรรมะๆ ที่เหนือมันวิทยาศาสตร์ เหนืออย่างนั้น

ทีนี้คำว่าหยิบแล้วปล่อย หยิบแล้วปล่อย จิตของคนมันยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดอยู่ มันยึดมั่นสิ่งใดอยู่ถูกหรือผิดยังไม่รู้เลย แต่ในความเห็นของฉัน ทุกคนเข้าข้างตัวเองหมด มันก็ว่าเราถูกทั้งนั้น ทีนี้มันถูกทั้งนั้น มันก็ยึดของมันอยู่แล้วใช่ไหม ก็ปล่อยมันก่อนสิ ปล่อยมันก่อนได้ไหม วางมันก่อนได้ไหม แล้วลองพิสูจน์อีกคำหนึ่ง อย่างเช่นพ่อแม่ว่าอย่างไร เราก็ว่าเราถูกๆ เราก็วางของเราก่อน แล้วลองทดสอบที่พ่อแม่พูดนั้นจริงหรือไม่จริง นี่ไง แต่เราวางไม่ได้หรอก

ไอ้คำว่าวาง อย่างเราสองมือเราหยิบเราวางได้ทั้งนั้นแหละ แต่ความคิดความนิสัยเราวางไม่ได้หรอก มันวางไม่ได้เพราะอะไร นั่นล่ะตัณหาความทะยานอยาก มันเป็นอนุสัย มันนอนเนื่องมากับความคิด ทีนี้คำว่าปล่อยวาง เอ็งวางอันนี้ก่อนแล้วพิสูจน์ก่อน อันนี้เป็นธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา ให้พิสูจน์ตรวจสอบ อะไรที่รู้ที่เห็นแล้ว ใช่เอ็งรู้เห็นแล้วล่ะ แต่ประสาเรานะ อนุบาลฉิบหายเลย มันยังเด็กๆ น่ะ ทำไมเอ็งไม่พิสูจน์ก่อน พอรู้อะไรแล้วนะ

ชาตินี้เราตั้งเป้าไว้เลย เราจะหาเงินล้านหนึ่ง ถ้าเราได้เงินล้านหนึ่ง เราพอหรือยัง เราจะเอากี่ล้านล่ะ เห็นไหมเป้าเราพอได้ครบล้านก็จะเอา ๒ ล้าน ๓ ล้าน ๔ ล้านขึ้นไป ไอ้นี่ก็เหมือนกัน พอเรารู้แล้ว เอ็งรู้อะไร อย่าว่าแต่ล้าน สลึงยังไม่เป็นเงินเลย แต่เข้าใจว่าล้านหนึ่ง ถ้ามันเข้าใจอย่างนี้แล้ว ถ้ามันพิสูจน์ตรวจสอบมันก็วางอันนั้นเห็นไหม คำว่าวางอันนั้นก่อน วางคือวางทิฏฐิ ความเห็น ความชอบ ความอะไรต่างๆ วางไว้ก่อน แล้วทำตามความเป็นจริง ตั้งใจจงใจทำตามความเป็นจริง แล้วถ้าได้สัมผัสนะ ปัจจัตตัง มันจะรู้เลย เอ้อ! ดีกว่านั้นอีก อันโน้นไม่เอาไหนเลย แต่เมื่อก่อนนี้สุดยอดๆ เลย

นี่ธรรมะพระพุทธเจ้าจะสอนไง ท่านบอกมีคนสองคนเป็นคณะกันไปเที่ยวป่า แล้วก็แบกมูลสัตว์เป็นปุ๋ยมาคนละเข่ง ทีนี้พอแบกมาด้วยกัน พอมาข้างหน้าก็มาเจอเหล็ก ไอ้นี้บอกแบกมูลสัตว์มานานแล้วกูไม่ทิ้งล่ะ ไอ้นั่นมันทิ้งเลย มันเอาเหล็ก พอเดินไปข้างหน้าไปเจอเงิน มันทิ้งเหล็กไปเอาเงิน ไอ้นี่ยังแบกมูลสัตว์อยู่เงินกูไม่เอา เพราะมูลสัตว์กูแบกมานานแล้ว ไปข้างหน้ามันไปเจอทองนะ ไอ้นั่นมันทิ้งเงินเลยไปเอาทอง ไอ้นี่ยังแบกมูลสัตว์อยู่เลย กูแบกมาไกล เพราะแบกมาไกลแล้ว พอไปข้างหน้าฝนตก มูลสัตว์มันเปียกมันไหลเต็มตัวเลย กลับบ้านไปไม่ได้อะไรเลย ไอ้คนที่มันทิ้งมาๆๆ กลับบ้านไปมันได้ทองคำ เอาทองคำไปโชว์ครอบครัวเขาว่า ฉันได้ทองคำมา

พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบเวลาเรื่องการปฏิบัติเป็นอย่างนี้ แต่เราทิฏฐิมานะเห็นไหม ด้วยความเห็นเรามูลสัตว์มันมีค่านะ มูลสัตว์นี่มันเอาไปใส่ปุ๋ยนะ โอ๋ย ต้นไม้จะได้กินมะม่วงนะ มูลสัตว์นี่สุดยอดนะ ไม่ทิ้งหรอก ยังไงก็ไม่ทิ้ง

เห็นไหมถึงบอกว่าถ้าเราทิ้งเราวาง แต่เราต้องวางให้เป็น ต้องวางให้ดี ไม่ใช่สะเพร่า ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนจับจด เราไม่ได้จับจด เราจะพิสูจน์ตรวจสอบ กาลามสูตรพระพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อคำสอนใครทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่ออะไรเลย ให้เชื่อประสบการณ์จริง ถ้าจิตมันได้ประสบ มันได้สัมผัสแล้ว ใครมันจะพิสูจน์ มาสิ มา ก็ทำมาแล้ว จะทำไม ก็ทำมาแล้ว เอาสิ เอาความจริงเอาออกมา นี่ครูบาอาจารย์เราตรงนี้ ถ้ามันปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันรู้ในหัวใจแล้ว มันเป็นความจริงของมันแล้ว ความจริงมีอันเดียว

ความจริงมีหนึ่งเดียวไม่มีสองหรอก เวลาของฉันจริงของเอ็งเทียม ของเอ็งจริงน้อยจริงมากไม่สำคัญ มีหนึ่งเดียว องค์นี้องค์ที่ ๔ สมณโคดม ภัทรกัปพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้า อันนี้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ อันเดียวกันนี่แหละ อริยสัจตั้งแต่สมัยพระพุทธกาลกับสมัยนี้ก็เหมือนกัน ทุกข์สมัยพระพุทธกาลกับสมัยนี้ก็เหมือนกัน ร้องไห้ ดีใจ เสียใจ สมัยพุทธกาลกับสมัยนี้ก็เหมือนกัน เพียงแต่แตกต่างกันในสิ่งแวดล้อมเท่านั้นเอง แตกต่างกันที่เทคโนโลยีที่มันสะดวกขึ้นมาเท่านั้นเอง

แต่ความรู้สึกอันเดียวกันนี่แหละ มันก็ทุกข์อันนี้ มันก็น้ำตาไหลพรากอันนี้ มันจะมีอะไรมากไปกว่านี้ อริยสัจมันก็อย่างนี้ ถ้าอริยสัจมันเข้ามา ดูสิเทคโนโลยีมีไปหมด ทำอะไรก็ได้ แต่มึงผ่าตัดกิเลสกูทีสิ เอากูออกไปด้วย เอามาสิหามา เลเซอร์มันก็ตัดให้ไม่ได้ มรรคญาณความเห็นของจิต จิตแก้จิต ความรู้จากภายในแก้มัน ถ้ามันอยู่ภายในใครจะแก้มัน ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าไม่มีคนสอน ใครจะเอาอันนี้มาใช้กับเรา แล้วในปัจจุบันนี้มาเจอนี่ไง พอปัจจุบันมาเจอถึงบอกให้วางได้ก่อนได้ไหม อะไรผิดอะไรถูก สาธุทั้งนั้น ทุกคนมันก็ผิดมาก่อนทั้งนั้น

พระพุทธเจ้า ๖ ปี ครูบาอาจารย์เราก็ประพฤติปฏิบัติมา อย่างพวกเรามันก็แบบว่าลุ่มๆ ดอนๆ มาทั้งนั้น คนที่ปฏิบัติเลยไม่ผิด ไม่มี ทำงานมาใครไม่เคยผิดเลย ไม่มี มีแต่ผิดมาทั้งนั้น มากหรือน้อยเท่านั้น แต่บางคนมันไม่อย่างนั้นนิ ผิดๆๆ ก็ผิดมานานแล้วไม่ยอมแก้ มันก็จะผิด แล้วบอกว่าผิดอันนี้คือถูก ถูกของมึงไง แต่ผิดของสังคม ผิด ถูก ถูกทำไม ก็ทำมานานแล้วไม่มีใครว่าเลย ไม่ว่า เขาเห็นเอ็งก็สงสาร เขาคิดว่าเอ็งเป็นลูกหลานเขาก็ไม่ว่า พอว่าแล้วก็โกรธก็เคืองก็ทุกข์ก็ยาก ก็ไม่ว่ามา มันก็เลยชะล่าใจนึกว่าถูกนะ

มันผิดอยู่เต็มหัวใจนั้นล่ะ แต่ด้วยความเป็นลูกเป็นหลาน เขาก็โอ้โลมปฏิโลมมา ก็ว่าไม่ถูก ไม่ถูก วางให้ได้แล้วค่อยๆ ปฏิบัติ ค่อยๆ หาของเรา ถ้าหาของเรา มันจะใช้ของเรา นี่พูดถึงเรานะ นี่ว่าถึงสังคมที่ปฏิบัติกันอยู่ เดี๋ยวจะแจก พวกนี้รู้จักสงบดอทคอมไหม เปิดเว็บแล้วถ้ายังไม่เปิดเดี๋ยวเราจะให้ไป เราจะบอกว่า เราจะเอาอันนี้มาเป็นเหตุไง สงบดอทคอมพูดไว้เยอะ แล้วเปิดดูเพราะสงบดอทคอมนั่นที่เข้าไป เพราะสงสารสังคม เพราะต้องการให้สังคมมีสติสัมปชัญญะ ให้ทุกคนรู้จักตัวเอง

พระพุทธเจ้าไม่เคยต้องการสิ่งใดเลย ต้องการหัวใจของสัตว์โลก ต้องการหัวใจของเรา เวลาเราพูดนะเราพูดกับลูกศิษย์ที่มา บอกว่าเราไม่เคยเสียใจอะไรเลย ไม่เคยสงวนอะไรเลย แต่เสียใจหัวใจพวกเอ็ง เขาขโมยไปแล้ว หัวใจพวกเอ็ง ในหัวใจเอ็ง เขาขโมยไปหมดแล้ว แล้วเอ็งก็เหลือแต่ซากศพไง เดินไปเดินมาเหลือแต่ซากศพ แล้วหัวใจเอ็งอยู่ไหน แต่ธรรมะเขาให้มายืนที่หัวใจเอ็ง ธรรมะมันเกิดที่ไหน

หลวงตาบอกเลย ไม่มีสิ่งใดสัมผัสธรรมะได้เลย มีแต่ความรู้สึก หัวใจ ความรู้สึกของเราถึงจะสัมผัสธรรมะได้ พระไตรปิฎกเหรอ กระดาษเปื้อนหมึก กระดาษมันพิมพ์หนังสืออะไร อักษรอะไร มันก็เป็นอย่างนั้น มันพิมพ์หนังสือประโลมโลกมันก็เป็นเรื่องประโลมโลก มันพิมพ์หนังสือวิชาการก็เป็นหนังสือวิชาการ มันพิมพ์ตำรามันก็เป็นตำรา แล้วมันมีชีวิตไหม มันรู้จักตัวมันเองไหม มันมีอะไรให้เอ็ง

เราต่างหากไปอ่านมันใช่ไหม ไปอ่านมันไปศึกษามันมา แล้วทำแล้วถูกผิดยังไม่รู้นะ แต่ความรู้สึกของเรานี่มันรู้ ปฏิบัติไปผิด ผิดมันก็ผิด ผิดก็ทำไปเถอะ หัวปักหัวปำอยู่นั่นล่ะ มันได้แค่นั้นสบายๆ ใช่สบายๆ ถ้าสบายๆ อย่างนั้นต้นไม้กูสบายกว่าเอ็งอีก มันยืนของมันสบายของมัน ไม่เห็นมันปวดมันร้องของมันเลย ต้นไม้มันยืนอยู่นั้น มันสบายๆ เราไม่ใช่ต้นไม้ ต้นไม้อายุเป็นร้อยปีพันปี เราร้อยปีเราก็ตายแล้ว ยังสบายๆ อย่างนั้นอยู่อีกเหรอ

สัญชัยสอนมาก่อนนั้นอีก ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเรียนกับสัญชัย นั้นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่คืออะไร ไม่ใช่คือไม่ใช่ แล้วในไม่ใช่ล่ะ ในไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ แล้วนั้นไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ไม่ใช่คืออะไร ก็ไม่ใช่ นี่ก็เหมือนกัน มันก็ไม่ใช่ ว่างๆ ว่างๆ ในว่างๆ มีอะไร ก็ว่างๆ ก็พระพุทธเจ้าสอนให้ว่าง แล้วในว่างๆ ก็ว่างๆ แล้วใครว่าง ใครว่าง ใครรู้ว่าว่าง ทำไมถึงว่าง แล้วว่างทำไม ว่างมาเพื่ออะไร เพราะว่างเดี๋ยวมันก็ไม่ว่าง ความว่างมันคงที่กับมึงไหม มันแปรปรวนตลอด

ไอ้ว่างๆ ก็เพราะทำให้มันว่าง คิดให้มันว่างมันก็ว่าง คิดให้มันว่าง ว่าง อะไรมากูก็ว่างๆ แล้วเหตุผลมันอยู่ไหน ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ข้าวจะกินอย่างน้อยยังต้องไปตักมาในหม้อเลย หม้อข้าวมึงน่ะไม่หุงข้าวมาจะมีข้าวมาไหม แล้วว่างๆ มาจากไหน ไม่ทำอะไรมาเลย ว่างๆ เหรอ แล้วว่างจะไปไหนต่อ แล้วเอ็งจะทำอะไร ก็ว่างๆ ก็ว่างๆ มันมีอยู่แล้ว นิพพานมันมีอยู่แล้ว กูเดินชนมันเลย หัวแตกอยู่นี่นิพพานเดินชนกู มันมีอยู่แล้วไง อยู่กับมันเนี่ย มันวิ่งมาชนกูเอง ไม่มีหรอก ไม่มี

โยม : หลวงพ่อครับ ผมขออนุญาตถามแทนหลานล่ะกันครับ หลวงพ่อสอนเรื่องยากมากเลยครับ แต่เด็กๆ จะไม่ค่อยเข้าใจ จริงๆ สอนดีครับ ทีนี้คือเด็กวัยรุ่นคงจะอยากถามว่า คนเราเกิดมาทำไมก่อนนะครับ แล้วก็เขาประสบความทุกข์นะครับ เขาก็คงไม่เข้าใจว่าทำอย่างไรจะออกจากทุกข์ ปฏิบัติอย่างไรถึงจะออกจากทุกข์ คือหลวงพ่อพูดขั้นสุดท้ายเลยครับ เด็กคงจะงง

หลวงพ่อ : นี่ในมุมมองเนาะ ไอ้ที่พูดเมื่อกี้นี้นะ เราว่าคือพื้นฐาน

โยม : อันนั้นคือสุดท้ายเลย

หลวงพ่อ : เราว่ากล้าพูด นี่พื้นฐานเลยนะ

โยม : อันนี้ถามยากไป ที่จริง...

หลวงพ่อ : ใช่ ไอ้ที่พูดนี้นะ ก็เมื่อกี้ที่เราตอบ เขาถามปัญหา คือว่าปล่อยแล้ววางใช่ไหม ให้วางก่อน แล้วก็พิสูจน์ใช่ไหม เราจะพูดถึงจิต เมื่อกี้เราพูดถึงว่ากระบวนการทำงานของจิต จิตมันทำงานอย่างไรไง ความคิดกับจิตมันทำงานกัน เราถึงอธิบายว่ามันปล่อยแล้วมันมีโอกาส พอมันโอกาสคือว่าถ้าทำสมาธิมาว่างแล้ว มันปล่อยวางแล้ว จิตเราได้ทำงานต่อไป ไอ้นี่พูดถึงปล่อยแล้ว ปล่อยอันนี้ วาง เพราะเราพูดอันนี้เป็นประเด็นขึ้นมา

เราถึงตอบประเด็นนี้ นี่ถ้าประเด็นว่า ชีวิตนี้มาจากไหน เกิดมาทำไม แล้วเกิดมาแล้วจะไปไหน ชีวิตนี้มาจากไหน ถ้าเราพูดถึงโดยหลัก โดยหลักเราต้องยืนยันกันที่พระพุทธเจ้าก่อน เวลาพระพุทธเจ้าพิสูจน์ว่า ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้มาจากไหน พระพุทธเจ้าพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติของพระพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ พระพุทธเจ้าเกิดจากมารดา เกิดที่สวนลุมพินีนะ ประกาศเลยว่า เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทั้งๆ ที่ยังเป็นทารก เพิ่งเกิดเลย เพราะบุญญาธิการ

ทีนี้บุญญาธิการขึ้นมา เกิดมาแล้ว โดยสังคมโลกๆ พ่อแม่ก็ธรรมดา พ่อแม่เป็นกษัตริย์ก็อยากให้ลูกเป็นกษัตริย์ใช่ไหม ส่งไปเล่าเรียนศึกษาวิชาการทั้งหมดเลย เตรียมตัวเป็นกษัตริย์ พอเตรียมตัวเป็นกษัตริย์ปั๊บ พอเป็นกษัตริย์นะเพราะว่าพราหมณ์พยากรณ์ไว้แล้วไงว่า ถ้าออกบวชจะเป็นศาสดา ถ้าอยู่ในโลกได้เป็นจักรพรรดิ

จักรพรรดิหมายถึงว่า สมัยก่อนอินเดียเป็นแว่นแคว้นไม่ใช่ประเทศอินเดีย อินเดียสมัยโบราณเป็นแว่นแคว้น ไม่มีประเทศ ประเทศคือไม่มีหลักฐานแน่นอน แล้วแต่กำลังทัพของใครยึดของใครของมัน ยึดครองกันโดยธรรมชาติ นี่มันแว่นแคว้นคือกษัตริย์ประจำแว่นแคว้น พอแว่นแคว้นหนึ่ง ถ้าลูกบวชเป็นกษัตริย์มันจะได้เป็นจักรพรรดิ จักรพรรดิคือรวมประเทศไง รวมแว่นแคว้นอินเดียไปรวมมา พ่อแม่ก็ปรารถนาอย่างนั้น

โธ่ เราไปดูในพระไตรปิฎกเห็นไหมว่า มันเป็นกระดาษเปื้อนหมึก แต่ไปดูพระไตรปิฎกแล้วซึ้งมากนะ มันเป็นความทุกข์ของกษัตริย์นะ เพราะกษัตริย์ต้องปกครองในแว่นแคว้น แล้วกำลังเราน้อยกว่า เราอ่อนแอกว่า มันจะโดนเขารุกรานตลอดเวลา แล้วเราต้องปกครองประชาชนให้มีความสุข ครอบครัวของเราเอง ครอบครัวของประชาชน ครอบครัวของญาติโกโหติกา โอย กษัตริย์นี่ทุกข์ฉิบหายเลย

นี่พอเป็นอย่างนั้นปุ๊บ พอลูกจะเป็นจักรพรรดิเห็นไหม จะรวบรวมแว่นแคว้น พ่อแม่นี่ อู้ฮู ทุกข์ พ่อแม่นี่หวังมาก เพราะพราหมณ์พยากรณ์แล้ว พอพยากรณ์ก็ปิดกั้น ปิดกั้นหมายถึงว่าเลี้ยงดูลูกไม่ให้เห็นคนชรา ไม่ให้เห็นอะไรเลย ให้เห็นแต่สิ่งที่ดีงามตลอดเวลาไง นี้พอไปศึกษามา พอจบมาแล้วเห็นไหม จบมาแล้วไปเที่ยวสวน ไปเห็นคนเกิด ถามมหาดเล็กนะนั่นอะไร มันก็น่าแปลกเนาะ คนที่สร้างปัญญามาขนาดนั้นไม่รู้จักเนาะ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เพราะว่าเขาได้รับการดูแลไง เห็นทารกนะ ถามมหาดเล็กนั่นอะไร นี่คือคนเกิด ยมทูตมาแสดงตัวให้เห็น เห็นคนแก่ นั่นอะไร นั่นคนแก่ คนต้องแก่อย่างนี้ด้วยเหรอ เห็นคนเจ็บ เห็นคนตาย เพราะบุญญาธิการสร้างมา อันนี้มันทิ่มเข้าไปในหัวใจเลย ถ้ามีคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราก็ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายด้วยเหรอ ถ้ามันมีคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันก็มีความคิดว่าเราจะออกบวช

ไอ้เราเห็นทุกวันเลย ในสังคมไทยเราสังคมพุทธ เวลาไปงานศพเห็นไหม ล้างหน้าศพนี่ก็เตือน เวียนรอบ ๓ รอบก็กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่เวลาเวียนนี้ มันก็คติธรรมทั้งนั้น แต่ขณะคติธรรมที่มีพุทธศาสนาแล้ว เขาเป็นคติธรรมแล้ว พวกเรายังซื่อบื่อ พระพุทธเจ้ายังไม่มีศาสนาเลย ไปเที่ยวสวนไปเห็นเข้ายังช็อกเลย ช็อกแล้วหาทางฝั่งตรงข้าม แล้วจะหาที่ไหน พอหาที่ไหน ก็ออกบวช

พอออกบวช พอเริ่มๆ จะเข้าตรงนี้แล้วว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้านะ พอจิตเริ่มปฐมยาม พอจิตมันลง มันย้อนไปเลย เพราะธรรมดาของการตรัสรู้ ธรรมดาของการชำระกิเลส ธรรมดาต่างๆ มันต้องรู้ฐานที่ตั้ง รู้ที่มาที่ไป รู้ต่างๆ แล้วมันค่อยชำระสะสางได้ อย่างเช่น โทษนะ อย่างพวกโยมเห็นไหม จะมีหนี้ มีสินต่างๆ มันมาจากไหนล่ะ แล้วมีหนี้มีสินของเรามันมาจากไหน มันมาจากบัญชีของเราใช่ไหม มาจากการ์ด มาจากต่างๆ ที่ไปรูดใช่ไหม ต้องไปแก้กันที่นั่น ใช่ไหม

ไอ้นี่มันมาก็มาจากฐาน มาจากจิต พอมาจากจิต จิตพอเริ่มกำหนดไปลองผิดลองถูกมาเยอะแล้ว แล้วมันไม่ได้เรื่อง ที่ไหนเขาบอกศาสดาไปเรียนกับเขามาหมดเลย พอสุดท้ายก็มานึกถึงตอนโคนต้นหว้า คืออานาปานสติ ลมหายใจเข้าออก ถ้าเป็นฌานเป็นอะไร มันจะเป็นพลังงาน พออันนี้เป็นลมหายใจเข้าออกมันก็เป็นสัมมาสมาธิ พอเข้ามามันจะเข้าไปสู่ฐานที่ตั้ง สู่ต้นบัญชี ต้นขั้ว นี่พอเข้าไปสู่ใจของตัวเองนี่ไง นี่ชีวิตมาจากไหนไง พอเข้ามาถึงที่ขั้วปั๊บ ก็ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหม

เพราะยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า เข้าไปสู่ต้นขั้ว ต้นขั้วโปรแกรม มันก็ซับซ้อนสิ่งใดมา พอซับซ้อนมามันก็ไปเห็นโปรแกรม มันไหลไปเลยนะ พระเวสสันดร ทศชาติไปเรื่อยเลย ไม่จบ ไม่จบนะ บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติพระพุทธเจ้าย้อนไปไม่มีวันจบนะ อย่างนี้ถ้าไม่จบก็เหมือนกับเราไปดูโปรแกรมเรา เราไปดูของเรา เราดูด้วยความข้อเท็จจริง เราก็สลดสังเวชนะ อย่างเช่นถ้าเราจะรู้ว่าชาติที่แล้วเราเป็นอะไร เป็นต่อๆ มา เป็นจนไม่มีที่สิ้นสุด

เราสังเวชไหม พอมันสังเวช มันไม่ใช่ธรรมะนะ มันสังเวช พอมันสังเวช มันยังไม่มีธรรมะก็ยังงงอยู่นะ พอย้อนกลับมาดึงจิตกลับมาได้ คนภาวนาไม่เป็นจะไม่รู้ ถ้าคนภาวนาเป็น เวลาจิตมันสงบแล้ว กำหนดรู้ออกไป ที่เราเห็นนิมิตเห็นอะไรต่างๆ คนนะทำได้ รู้ได้ ถ้าคนชำนาญจะคุมกำหนดจิตได้หมดเลย จิตของเรา โทษนะ เหมือนเครื่องแสงเลเซอร์ เหมือนเครื่องวิทยาศาสตร์ที่เราจะกำหนดได้หมดเลย ถ้ามีสติ แล้วมีสัมปชัญญะที่เป็นจริงนะ

ถ้าไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ โกหกหมดเลย โกหกตรงไหน โกหกว่าเป็นวิปัสสนึกหมดเลย มันสร้างภาพหมดเลย จิตนี้มันมหัศจรรย์มาก มันจะหลอกตัวเองขนาดไหนก็ได้ มันจะสร้างอะไรก็ได้ ว่าชาติที่แล้วกูเป็นกษัตริย์ กูเป็นมหาจักรพรรดิ อู้ย มันไปใหญ่เลย ไม่รู้จักรพรรดิอะไรพัด พัด พัด พัด พัดลมมั้ง พัดร้อนน่ะ จิตนี่ถ้าไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ ถ้าไม่เข้าใจนะ มันจะไปของมันเลย แล้วมันไม่ใช่ข้อเท็จจริง

ถ้าข้อเท็จจริง ถ้ามีสติปัญญาจะข้อเท็จจริงอย่างนี้ พอย้อนไปถึงที่สุดแล้ว เพราะมันมีสติสัมปชัญญะมันก็ดึงกลับ คำว่าดึงกลับ คนไม่เข้าใจหมด ไม่เคยทำ เรามีแต่กดปุ่มไง มีแต่กดปุ่ม ถ้ากดปุ่มมันถูกหมด พอกดปุ่มผิดเครื่องก็รวนเลย ไอ้นั่นมันวิทยาศาสตร์ แต่นี่มันสติ มันต้องคุมของมันตลอดเวลา พอคุมตลอดเวลา เพราะมันรู้สติสามัญสำนึกมันดีมากนะ ถ้าคนทำได้ขนาดนี้ เหมือนสิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็ว ดูสิ ยานอวกาศเขาควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ เพราะเขาไม่ใช่มนุษย์หรอก

แต่นี่สติสัมปชัญญะ เราควบคุม เราทันความรู้สึกเราหมดเลย พอมันไปหมดแล้วใช่ไหม มันไปเราก็รู้ไปหมดแล้ว มันเกิดความรู้สึกความคิดขึ้นมาว่ามันไม่จบ ไม่สิ้น ก็เลยระลึกดึงกลับ พอดึ๊งกลับมา ก็ยังภาวนาต่อไป นี่ปฐมยามนะ มัชฌิมายามเห็นไหม พอพลังของจิตมันกลับมาถึงที่ตั้งหมดแล้ว แล้วทำงานยังไงต่อไป ถ้าทำงานต่อไป มันมีแรงขับ คือมันมีอวิชชา มันยังมีแรงขับ มีแรงกรรมอยู่

ถ้ามีแรงกรรมอยู่ ถ้ามันไม่จบ มันจะไปยังไงต่อ มันก็เห็นการเกิด จิตดวงนี้ถ้ามันมีกรรมอย่างนี้ มันจะไปเกิดอย่างนั้นๆ จิตดวงนี้แหละ เกิดอย่างนี้มันเกิดต่อไปนี้ พอเกิดต่อไป นี่จุตูปปาตญาณ อย่างบุพเพคือย้อนอดีต จุตูปปาตญาณคือเห็นสิ่งที่เป็นอนาคต ที่จิตถ้ามันขบวนการ ชีวิตนี้มาจากไหนไง มันจะเกิดยังไง เดี๋ยวจะพูดต่อไปเรื่อยๆ พอขบวนการมันเป็นอย่างนี้ปั๊บ มันก็จะเห็นว่ามันจะไปเกิดอีก นี่ปัจจุบันคือเจ้าชายสิทธัตถะ

ปัจจุบันคือจิตที่เรากำหนดจิตขึ้นมา แล้วเราดูของเราอยู่ สติกำลังดูอยู่ สิ่งที่เป็นพลังงานที่เราควบคุมมันอยู่ แต่พลังงานนี้ มันได้สร้างมานาน มันมีฐีติจิต มันมีฐาน มันมีตัวปฐมพลังงานที่เป็นตัวธาตุรู้อยู่ นี่ข้อมูลมันเก็บนั้นหมด มันก็ออกมาดูจุตูปปาตญาณ มันก็ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ก็ไม่จบ ดึงกลับ พอดึงกลับเข้ามา มันก็มาอยู่ต้นขั้วอยู่ที่ฐานใช่ไหม อยู่ที่ฐาน ด้วยอำนาจวาสนาบารมี

อดีตก็ไปมาแล้ว อนาคตก็รื้อจบหมดแล้ว มันไปไม่ได้ทั้งนั้นเลย รวมลงปัจจุบันยังไง พอปัจจุบันยังไง นี่ ชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากฐีติจิต วิญญาณปฏิสนธิ วงการหมอเห็นไหมวิญญาณปฏิสนธิ ไข่ เห็นไหม ไข่ สเปิร์ม จิตหยั่งลงด้วยนิวเคลียสให้มันสมดุล ชีวิตเกิดยังไง นี่การเกิดของมันนะ แต่นี่วิทยาศาสตร์นะ พวกวิทยาศาสตร์ที่กูบอกว่าดูถูกฉิบหายเลยน่ะ นี่วิทยาศาสตร์นะ

เพราะมันมีจิตที่หยั่งลง ปฏิสนธิวิญญาณ ถ้าไม่มีวิญญาณปฏิสนธิ เพราะการเกิด กำเนิด ๔ ในศาสนา กำเนิดในไข่ กำเนิดในครรภ์ กำเนิดในน้ำคร่ำ กำเนิดในการโอปปาติกะ กำเนิด ๔ กำเนิดกับปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตมันหยั่งลง พอมันหยั่งลงเห็นไหม พอมันหยั่งลงมันก็เกิด มันหยั่งลงในอะไร หยั่งลงในไข่ ในครรภ์ ในน้ำคร่ำ โอปปาติกะพวกเทวดา อินทร์ พรหม อันนี้เป็นขณะนะ

อันนี้เป็นขณะที่เราเปลี่ยนชีวิตนะ แต่ตัวปฏิสนธิจิต ตัววิญญาณมันมีของมันอยู่แล้ว มีอยู่แล้วนี่โดยข้อเท็จจริงของมัน ทีนี้พระพุทธเจ้านี่ขณะที่เป็นพระพุทธเจ้า เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เกิดเป็นภพชาติ มันมีสถานะของมนุษย์รองรับ มันมีกรรมรองรับ กรรมการเป็นมนุษย์ พอเราเกิดไปแล้วได้สถานะ สถานะรองรับเหมือนกับเรามีโอกาส เหมือนเกมๆ หนึ่งมีเวลาเท่าไหร่

เวลาของเรา ๑๐๐ ปี นี่คำว่า ๑๐๐ ปี มันมีโอกาสรองรับตรงนี้ ถ้าไม่มีโอกาสรองรับตรงนี้ เราจะบอกว่าถ้าไม่มีตรงนี้รองรับ หรือไม่มีตรงนี้เป็นฐานนะ การภาวนาอย่างนี้มันไม่มี การภาวนาอย่างนี้มันมี เพราะมันมีมนุษย์ มันมีสถานะของภพชาติ เพราะภพชาติ เพราะมันมีการกระทำอย่างนี้ พระพุทธเจ้ามีมรรคญาณที่มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ มันถึงรวมกลับมาอาสวักขยญาณ มันทำลายอวิชชาทั้งหมด ทำลายอวิชชาคือเวรกรรม

เวรกรรมที่ได้อดีตอนาคตที่ได้สร้างมา มันชำระล้างสะอาดทั้งหมด รวมลงหมด อันนี้เห็นไหม พออันนี้หมดปั๊บ สิ่งที่ฆ่านี้คือ ฆ่ากิเลส แต่ชีวิตก็ยังอยู่ ชีวิตพระพุทธเจ้ายังอยู่ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วอีก ๔๕ ปี พระพุทธเจ้ายังใช้ประโยชน์มา พอรวมลงหมดนะ นี่คือสอุปาทิเสสนิพพาน คือพระอรหันต์ พระอรหันต์คือจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ เราพูดไว้ทุกที่เลยว่าพระอรหันต์ไม่มีจิต ถ้ามีจิตคือมีภพ

แต่นี่พูดกับโยมพูดกับเด็ก พูดกับความเข้าใจของโลก ก็ต้องบอกว่าจิตพระอรหันต์ พอมันทำลายแล้วพระอรหันต์ก็ยังเหลือธรรมธาตุ ยังเหลือสถานะ ตอนนี้คนจับผิดเยอะ จะพูดอะไรผิดไม่ได้เลย ตอนนี้พูดอะไรผิดนะ เว็บไซต์มันจะเอาไปขยายความทันทีเลย มันเลยพูดยากนิดหนึ่ง จะพูดอะไร มันจะพูดสิ่งที่ละเอียดมาให้เราเข้าใจ มันก็ต้องเปรียบเทียบ พอเปรียบเทียบแล้วมันก็เป็นข้อมูล พอข้อมูลเขาก็จับข้อมูลนี้ไปขยายความว่า ว่าแต่เขา ตัวเองก็พูดผิด ตัวเองก็พูดผิด จะสื่อให้เขารู้

พอมันทำลายหมดนะ พอทำลายหมดนี่หมดสิ้น นี่พูดถึงพอเราเอาตรงนี้มาอ้างว่าชีวิตนี้มาจากไหน ชีวิตมันมาจากกรรม จากการกระทำ พอจากการกระทำ มันทำที่ไหน เพราะมันมีปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตนะ พอเกิดมาเป็นมนุษย์ปั๊บ ปฏิสนธิมันเป็นตัวรากเหง้า แต่พอเป็นมนุษย์มันมีวิญญาณอันหยาบ วิญญาณอันหยาบคือวิญญาณในอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สิ่งแรงกระทบอย่างนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จริงๆ รับรู้อะไรไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีจิตตัวนี้รองรับ

เราเห็นภาพได้ยินเสียงที่ไม่รับรู้ก็เยอะแยะไป แต่ได้ยินเสียงเมื่อไหร่ เราตั้งใจฟัง วิญญาณปฏิสนธิมันสื่อรับหมายกัน เราจะรู้ในทุกๆ เรื่อง แต่บางทีเราทำงานอย่างอื่นเพลินอยู่ แล้วอายตนะกระทบอยู่เหมือนกัน ทำไมเราไม่รู้ แล้วในปัจจุบันพวกเราก็รู้กันแค่นี้ รู้กันที่วิญญาณอายตนะผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราก็เลยไม่รู้จักว่าจิตนี้มาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน อดีตชาติเป็นอย่างไร อนาคตจะไปไหนกัน

แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็เป็นเหมือนเราแหละ ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านก็มีนางพิมพา ท่านก็มีสามเณรราหุลเหมือนกัน แต่ด้วยอำนาจวาสนาของจิตต่างหากล่ะ ท่านถึงมีความคิดแตกแยกไปจากสังคมมนุษย์ มนุษย์ทุกคนใครไม่อยากเป็นกษัตริย์ ใครไม่อยากปกครองคน ทำไมท่านคิดต่างล่ะ ท่านคิดบอกว่าการปกครอง มันเป็นแต่ความทุกข์ ทำไมท่านเสียสละออกไปล่ะ

ทางโลกเขาบอกว่า พระพุทธเจ้าเห็นแก่ตัว เวลาเป็นพระเวสสันดรเขาขอ ก็ไม่สละตัวเอง ไปสละลูก ๒ คน เวลาสละไปสละภรรยา ทำไมไม่สละตัวเอง เขาไม่คิดมุมกลับ ถ้าคิดมุมกลับนะ สุภาพบุรุษรักภรรยาไหม รักลูกไหม รัก ถ้าลูกจะเจ็บจะปวดเราเจ็บแทนได้หมด เราทำทุกอย่างให้ได้หมดเลย แต่เขาไม่ขอเรา โอ๋ เขาขอลูกขอภรรยา เขาขอลูกขอภรรยาเพราะอะไร เพราะมันสะเทือนเรา เพราะเรารักมาก เรารักภรรยาเรามาก เรารักลูกเรามาก แล้วขอลูกไปแล้ว มันตีต่อหน้าด้วย โอ้ย เจ็บมาก

แต่ทางโลกบอกว่าเห็นแก่ตัวนะ คนที่เป็นสุภาพบุรุษนะ ลูกจะทุกข์นะ เราขอทุกข์แทน ลูกจะป่วยขอป่วยแทน ขอทำแทนให้ลูกได้ทุกๆ อย่างเลย แต่เขาไม่ขอเรานี่ เขาขอลูก เพราะโพธิญาณมันเกิดที่จิต มันเกิดที่หัวใจ งั้นเขาถึงขอตรงนั้น นี่เวลาโลกมองมุมกลับ โลกมองแต่วัตถุธาตุ มองแต่ความรับรู้ แต่ถ้าจะเกิดธรรมะได้ จะบารมีธรรมนี่มันจะเกิดตรงนี้ นี่เพราะฉะนั้นบอกว่าชีวิตนี้มาจากไหน เราจะบอกว่าชีวิตของเราที่มาจากนี้ มาจากการกระทำของทุกๆ คน แต่ไม่ได้ทำในปัจจุบันนี้ มันทำมาจากอดีตชาติ ทำมาจากเหตุ เพราะเหตุมันมีเวรมีกรรมขึ้นมา มันก็ขับดันมาให้เรามาเกิดอย่างนี้

เราจะบอกว่าเราปฏิเสธการเกิดและการตายไม่ได้ ใครจะปฏิเสธ เนี่ยวางแผนครอบครัวไม่ให้เกิดเลย มึงทำให้กูดู ไม่ให้เกิด มึงทำให้กูดู ไม่มีทาง มันได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อจิตทุกดวงมันมีเวรมีกรรมมันต้องเกิด จิตมันมีกรรมของมันใช่ไหม มันจะต้องไปของมันใช่ไหม บางครอบครัวนะอย่างเช่น วางแผนครอบครัวอย่างดีเลย ทำไมพลาดมีบุตรขึ้นมาล่ะ ถ้าพ่อแม่คนนั้นกับจิตดวงนั้นมันมีความผูกพันกันมาพอสมควร มันจะต้องมาเกิดตรงนี้ มันจะต้องมาเกิด

สิ่งที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์ที่มันเกิดขึ้นมา เป็นเวรเป็นกรรมของสภาคกรรมคือสังคมโลกนี้แหละ พอสังคมมนุษย์เกิดขึ้นมา วิทยาศาสตร์เห็นไหม วิทยาศาสตร์ก็คิดสิ่งใดขึ้นมาเพื่อทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา พอมันปิดกั้นอย่างนั้น เพราะยุคสมัย ยุคสมัยเกิดอย่างนี้ ไอ้จิตวิญญาณที่จะเกิดในยุคสมัยนั้น เพราะมันมีกรรมของมันมา มันถึงเจอเหตุการณ์อย่างนี้ เขาเรียก ธรรมะจัดสรร กรรมมันจัดสรรของมันไป ชีวิตที่มันเกิด มันก็มาอย่างนี้ มันมาแน่นอน

มันยังดีนะจะพูดว่ามันยังดีนะที่มาเกิดเป็นเรา เกิดเป็นมนุษย์ ถ้ามันไม่มาเกิดเป็นเรา มันก็ต้องดันมาเกิดในฐานะของสัตว์เดรัจฉาน มันต้องเกิดแน่นอน เพราะจิตนี้มันต้องเกิดตลอดเวลา จิตนี้มันแสดงตัวตลอดเวลา ไม่มีเว้นวรรค จิตนี้ไม่มีเว้นวรรค มันต้องมีสถานะของมัน ในสถานะของมนุษย์ตาย ผัวะ! ถ้ามีกรรมลงนรกไปเลย ไปเกิดในสถานะของนรก สัตว์นรก ถ้าไปเกิดในสถานะของสัตว์เดรัจฉาน ไปเกิดในสถานะไหนมัน ถ้าไม่เกิด มันยังรอจังหวะเกิดคือสัมภเวสี ถ้ามันเกิดมีบุญปุ๊บ มันเกิดเป็นเทวดาเลย ถ้ามีบุญ

อันนี้เราจะบอกว่า เราจะยกขึ้นมาด้วยความเคารพอีกอันหนึ่ง หมอ.........เขาพูดไว้เอง เขาพูดไว้แล้วแจกเป็นแผ่นซีดี เราฟังอยู่ เขาบอกว่าเวลาเขาเกิดมา เขาเกิดมานะ แล้วเขามีตอนที่ปู่เขากับน้องปู่เขา ตัวเขาเองเป็นปู่ เขาตายไป เขาก็มาเกิดในครรภ์ของลูกสะใภ้ ก็ลูกล่ะ ลูกของหมอ.........เขาบอกว่า นั่นเขาเป็นพ่อของพ่อเขา แล้วเขามาเกิดที่นี่ นี่หมอ.........พูดเอง พอเขามาเกิด เราจะบอกมนุษย์เกิดเป็นมนุษย์ไง พอเขามาเกิดนี่ปั๊บ แล้วบอกว่าน้า อาเนาะ น้องพ่อคืออา

เขาบอกเขาพูดเองนะ เขาพูดถึงประวัติเขา เขาบอกว่าอาก็ไปพูดอวดเขา ไปพูดอวดกันว่าที่ลูกมาเกิด คือพ่อของพ่อนี่มาเกิดเป็นเขา แล้วเขาบอกถ้าไม่เชื่อ เพราะพวกนี้เขาหมอหมด เขาไม่เชื่อนะ เพราะเขาไม่เชื่อเขาพิสูจน์ พิสูจน์ไปถามเด็ก เด็กมันยังเล็กๆ อยู่ มันยังไร้เดียงสาว่าตายตรงไหน มันเดินไปชี้เลย ศพตั้งตรงไหน มันไปชี้เลย เด็กเล็กๆ นะ เด็กไร้เดียงสานะ ตัวหมอ.........เอง ตอนนั้นเขาบอกว่าเขาเป็นทารก เขาไม่รู้เรื่องหรอก แต่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง เขาจะไปชี้หมดเลย ว่าเขาตายที่ไหน ตายยังไง แล้วมาเกิด แล้วพอบอกพอพูดอย่างนี้ปั๊บ แบบทุกคนในสังคมก็ยอมรับ

เขาก็ยอมรับนะ ยอมรับในสังคม ในบ้านของเขา แล้วนี่เขาพูดเองว่าแต่พอถึงเวลาปั๊บ พอไปพูดเขาก็พูดแบบอวดเขาทั่วไปหมด ทีนั้นพอมีเพื่อนมาเขาก็บอกว่า จะให้ตัวหมอ.........ยังเด็ก ให้ไปชี้ที่เกิดที่ตาย พอโตขึ้นมามันลืม พอโตขึ้นมา พออายุมันมีมันมีอายุ มันก็เริ่มเลือนลางไป เขาบอกเวลาพ่อเขาจะแอ็ค จะอวดคนอื่น ให้ลูกมาชี้ มาชี้ผิดชี้ถูกเลย มันเปลี่ยนแปลงไป จะบอกว่ามนุษย์เกิดเป็นมนุษย์ไง จิตนี้ไม่มีเว้นวรรค มันจะไปตลอด แต่ถามว่าจิตนี้มาจากไป เกิดมาอย่างไร เกิดมาจากอำนาจของกรรม ทำดีทำชั่ว

เราจะเปรียบนะ พ่อแม่ครอบครัวหนึ่ง ถ้ามีลูกคนแรก และมีฐานะดี ลูกคนนี้จะได้รับอุ้มชูอย่างดีมากเลย พอลูกคนที่สอง ครอบครัวกำลังมีปัญหาทางการเงิน หรือคลอดคนที่สาม ลูกแต่ละคนที่เกิดขึ้นมา มันจะอำนาจวาสนาของมันมาไม่เท่ากันหรอก โดยธรรมชาติของมนุษย์ เห่อลูกคนแรกมากเลย คนแรกนี่โอ๋เต็มที่เลย พอคนที่สองคนที่สามชักหายเห่อไง เราจะบอกว่าลูกคนที่สอง คนที่สามคน กรรมมันก็ไม่เหมือนกันไง คนแรกได้รับการถนอมรักษาอย่างมาก คนต่อๆ มาได้รับการถนอมรักษาน้อยลง

มันเป็นเวรเป็นกรรมของจิตที่มาเกิดไง คำว่ามาเกิด ชีวิตนี้มาจากไหน นี่เราพูดนี่อย่าไปซีเรียสกับมัน เพราะถามเองว่าชีวิตนี้มาจากไหน พอถามแล้วซีเรียสเลย นี่กลายเป็นนิยายธรรมะแล้ว นี่กำลังเล่านิทานแล้ว เราจะบอกว่า ก็ถามเองว่าชีวิตนี้มากจากไหน พูดให้ฟังนี้พูดแล้วอย่าซีเรียส เพราะพระพุทธเจ้าสอนปัจจุบันธรรม พระพุทธเจ้าสอนที่นี่ สิ่งที่มันได้ มันมีมาแล้วมันก็คือมันมีมาแล้ว ในปัจจุบันนี้คือเรา พระพุทธเจ้าสอนที่นี่ แก้กันที่นี่ ถ้าบรรลุธรรม บรรลุที่นี่

พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกอดีตชาติ หรืออนาคตชาติมันจะดีกว่าใคร ไม่มี ปัจจุบันนี้เจอพระพุทธศาสนาแล้ว เชื่อพระพุทธศาสนาไหม เชื่อพระพระพุทธเจ้าไหม เชื่อธรรมะไหม เชื่อแล้วจะแก้ไขตัวเองยังไง นับถือศาสนาอะไร ศาสนาพุทธ พุทธอยู่ที่ไหน อยู่ที่ทะเบียนบ้าน นับถือศาสนาแล้วมีประโยชน์อะไรกับเรา อย่างเช่นคำว่าพุทโธ สอนพุทโธ พุทโธมาจากไหน พุทโธก็นึกขึ้นมา พุทโธเขียนเป็นชื่อเป็นกระดาษก็พุทโธอยู่โน้น

ถ้าพุทโธ พุทโธคือวิตก วิจาร นึกขึ้นมา พุทโธ พุทโธถ้าเราไม่นึกพุทโธ พุทโธมาจากไหน พุทโธก็นึกขึ้นมาแหละ พุทโธเป็นสมมุติก็สมมุติ ก็สมมุติไปก่อนทั้งนั้น ชื่ออะไร เราชื่อนาย ก นาย ก ก็สมมุติ ก็ลบมันทิ้ง ชื่ออะไรๆ แล้วจะชื่ออะไร แล้วมึงจะคุยอะไรกัน กูไม่มีชื่อ เขียนเลย ชื่อนายไม่มีชื่อ เออๆ แล้วมึงจะอยู่กับโลกเขายังไง โลกเขาสมมุติใช่ไหม กูชื่อนาย ก อ้าวนาย ก ทำอะไรทำดีทำชั่ว แล้วทำดีขึ้นมายังไง จิตเรามันมี จิตมันมีทุกอย่าง ทุกอย่างมันมี พอมีขึ้นต้นจากความมี ความมีขึ้นมาขึ้นต้นจากสิ่งที่ถูกที่ต้องที่ดีที่งาม แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นไป

ถ้ามันพุทโธขึ้นมาให้จิตสงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามา ก็มาถึงต้นขั้ว อย่างที่พระพุทธเจ้าทำที่พูดที่อธิบาย พวกเราต้องทำอย่างนี้หมดเลย ถ้าจิตไม่สงบเข้ามา ปัญญาที่เกิดขึ้นมา ศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ต่างๆ ถามตัวเองทุกข์ไหม สิ่งที่เอ็งรู้มา เอ็งรู้ไปทำไม รู้ไว้หาตังค์ แล้วชีวิตมึงเอาไว้ทำไม เอาไว้รอวันตาย หาตังค์ให้ตายเลย ตายไปแล้วก็จบ แล้วมันจบไหม ชีวิตนี้จบไหม ฉะนั้นปัญญาอย่างพวกมึง ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาวิชาชีพ มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาของโลก ปัญญาวิทยาศาสตร์ที่กูดูถูกฉิบหายเลย

แล้วปัญญาของธรรมมันเกิดขึ้นมาหรือยัง ถ้าปัญญาของธรรมมันเกิดขึ้นมา เราทำความสงบของใจเข้ามา ปัญญาของธรรมมันคืออะไร ปัญญาของโลกวิชาการมีมากน้อยขนาดไหนนะ เทคโนโลยีมันจะไปมากกว่านี้ อีกหน่อยเราจะไปอยู่โลกพระจันทร์กันแล้ว โลกนี้มันจะล้นโลก เทคโนโลยีมันคิดได้ มันทำของมันไป แล้วชีวิตเราล่ะ เพราะของอย่างนี้นะ มันเป็นอนิจจัง โลกนี้เป็นอจินไตย มันจะเป็นอย่างนี้ โลกนี้เคลื่อนตัวตลอดเวลา แผ่นดินนี้เคลื่อนไหวตลอดเวลา แยกออกตลอดเวลา

โลกนี้จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่เป็นอจินไตย โลกไม่แตกหรอก ไม่มีวันแตกหรอก ไม่ต้องกลัวโลกแตก เพราะถ้าโลกแตกพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ที่ไหน มึงไม่ต้องห่วง โลกนี้ไม่แตกหรอก แต่มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มันจะปรับสภาพของมัน โดยธรรมชาติของมัน มันจะเป็นอย่างนี้มันจะปรับสภาพของมัน นี้มันปรับสภาพของมัน นี่มันเรื่องของโลก แล้วเรื่องของเราล่ะ แล้วเรื่องของความรู้สึกล่ะ เรื่องของทุกข์ล่ะ เรื่องของเรานี้จะทำยังไง

นี่พระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ ถ้าพระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ปุ๊บ ถ้าเราศึกษานะ พุทโธๆ พุทโธๆ คือว่าจิตมันเหมือนกับอากาศ มันเหมือนกับสรรพสิ่งที่เราไม่เห็นด้วยตาเปล่า ความรู้สึกของเรา เราไม่มีอะไรที่จะพิสูจน์ของมันได้ เราถึงต้องกำหนดพุทโธคำบริกรรม ถ้ามีคำบริกรรม เอาความรู้สึกเกาะไว้กับคำบริกรรม มันแสดงตัวของมัน มันจะมีชัดเจนของมันขึ้นมา แล้วเราจะรับรู้ของเราขึ้นมาได้ สภาพที่เรารับรู้ชัดเจนขึ้นมา สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด แล้วหยุดนิ่ง

สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด เอ็งคิดถึงบ้านเดี๋ยวนี้สิ เอ็งคิดได้ ๕ รอบแล้ว มันเคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด แล้วมันไม่เคยหยุดนิ่ง มันหยุดนิ่งไม่ได้ เพราะมันไม่มีสิ่งใดที่เป็นที่หมายของมัน เราถึงต้องให้มีคำบริกรรมให้มันหัดยึดหัดเหนี่ยว ถ้าสิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด พุทโธๆๆ มันยับยั้งยังไง มันเคลื่อนที่เร็วที่สุดให้หยุดนิ่ง ความหยุดนิ่งอย่างนี้ ถ้าหยุดนิ่งขึ้นมาใครเป็นคนรู้หยุดนิ่ง สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด แล้วมันหยุดนิ่งของมัน มันจะรู้ตัวเองของมัน มันจะมีสติสัมปชัญญะของมัน

ถ้ามีสติสัมปชัญญะของมันเห็นไหม เป็นปัจจัตตังทั้งนั้นเลย เป็นปัจจัตตังรู้เฉพาะตน รู้เฉพาะจิตดวงนั้นเลย สิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุดแล้วหยุดนิ่ง ความหยุดนิ่งขนาดที่ว่างๆๆ ว่างๆ ขึ้นมา แค่เป็นความหยุดนิ่งเท่านั้น ความหยุดนิ่งไม่มีการกระทำ ไม่มีการแก้ไขสิ่งใดๆ เลย ความหยุดนิ่งแล้ว เดี๋ยวก็เคลื่อนไหวต่อ ความหยุดนิ่งแล้วก็เคลื่อนไหวใหม่ เคลื่อนไหวแล้วก็กลับมาหยุดนิ่งใหม่ มันมีประโยชน์อะไรขึ้นมา แต่ถ้ามีสัมมาสมาธินะ มันพยายามหยุดนิ่งของมันด้วยสติปัญญาของมันขึ้นมา

มันตั้งของมันขึ้นมาเห็นไหม พอตั้งของมันขึ้นมา มันจะเห็นของมันนะ โดยธรรมชาติของเรา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ทุกคนรู้ตัวทั้งนั้น ดีชั่วความสุขความทุกข์จิตก็รู้หมด จิตมันนิ่งมันก็รู้ตัวว่ามันนิ่ง นี่ไงสติสัมปชัญญะมันพร้อมไง แล้วเสวยอารมณ์ อย่างเช่นเรานั่ง โทษนะ ทุกคนนั่งเมื่อยไหม อยากพลิกขาไหม ทุกคน จิตมันหยุดนิ่ง มันเสวยอารมณ์ มันกระทบ มันก็เหมือนเรารู้เนี่ย เอ็งเมื่อยไหม เอ็งอยากเปลี่ยนท่าไหม จิตมันกระทบมึงรู้ไหม แล้วทำไมมึงจะไม่รู้

ถ้ามึงรู้มันก็เกิดของมัน วิปัสสนาญาณมันจะเกิดๆๆ นี่โลกุตรปัญญา ปัญญาที่การรู้การเห็นของเรา ที่เกิดขึ้นจากกลางหัวใจของเรา ที่มันจะเข้ามาชำระมัน ที่มันจะเข้ามากระทำมาซักฟอกตัวมัน มึงจะไปหาที่ไหนๆ ถ้ามึงไม่หาที่การปฏิบัติกลางดวงจิตของมึง แล้วกลางดวงจิตของมึง มึงจะหาจิตของมึงได้ยังไง จิตมึงจะหาได้ยังไง หลับตาสิ พุทโธ หลับตาแล้วพุทโธ เดี๋ยวจะรู้เดี๋ยวจะเห็น ความจริงมี ความจริงมี ผู้รู้จริงสอนก็มี ผู้ไม่รู้ไม่จริงสอน มันโกหก มันมดเท็จ มันหลอกลวง มันเอาหัวใจของสังคมไปขย้ำขยี้

โยม : จริงๆ หลวงพ่อตอบหมดนะ

หลวงพ่อ : พูดถึงชีวิตมาจากไหน นี่ดีเพราะว่าเวลามา เราจะบอกว่าพวกเราเป็นปัญญาชน แล้วเวลาพูดขึ้นมามันจะเข้าใจได้ แต่ถ้าเราไปพูดกันเองว่าเราเป็นปัญญาชน แต่เราไม่เข้าใจ ขนาดเราพูดกับพระ พระเราไปอยู่กับกะเหรี่ยงนะ ไปอยู่กับบ้านนอกคอกนา ไม่มีการศึกษานะ เวลาพระไปทำผิดทำถูก เขารู้หมดเลย

วัฒนธรรมของเขา เขาเคารพบูชาพระ เขาไม่รู้ทางวิชาชีพนะ ไม่มีการศึกษาอย่างเรานะ แต่เขารู้ประเพณีวัฒนธรรมนะ พระทำผิดเขาก็รู้ บิณฑบาต พระบิณฑบาตต้องก้มลงต่ำๆ ห้ามมองคนอื่นสิ เขาสอนพระเลยล่ะ กะเหรี่ยงในป่านะ พระทำอย่างไรเขารู้หมด แล้วดูสิชีวิตของเขา เขาทุ่มเทนะ เขาเชื่อของเขา เขาเชื่อมั่นของเขา เขาทุ่มเทของเขา แล้วมาพวกเราว่าปัญญาชน เราเป็นชาวพุทธๆ เขาว่าเรารู้ๆ นี่น่าอาย

โธ่หลวงปู่มั่นท่านพูดบ่อยนะ เวลาท่านไปอยู่ในป่าในเขานะ ท่านบอกว่า ชาวป่าชาวเขาเขาซื่อใสบริสุทธิ์ แล้วสอนง่าย ผู้เฒ่ายี่เห็นไหม เพราะประเพณีวัฒนธรรมของเขาถือผี หลวงปู่มั่นไป เขาบอกเขาสั่ง เขาเป็นผู้ใหญ่บ้านนะ เขาบอกว่าชาวบ้านเขาห้ามยุ่งกับพระนี่ เขาว่าเป็นผีเย็น เป็นเสือเย็น เสือเย็นคือเสือสมิงไง แหม คือว่าเสือสมิงเหมือนเสือปลอมเป็นพระมา เขากลัวลูกบ้านเขาจะโดนเสือกินหัว

เขาถึงบอกห้ามลูกบ้านเขาอย่าไปยุ่งกับพระ ๒ องค์นี้ เขาว่าเป็นเสือเย็น คือเสือเย็น เสือสมิงมันแปลงร่างได้ เขากลัวลูกบ้านเขาจะเสีย เขาเลยจัดเวรให้ไปเฝ้า ไปเฝ้าพระ ๒ องค์นี้ หลวงปู่มั่นท่านสุดยอดเลย ถ้าเป็นพวกเรานะ ถ้าเป็นพวกเราไปลำบากอย่างนั้น เราก็ไปเถอะ เขาจะเข้าใจผิดก็เรื่องของเขา เราก็ไปแล้ว แต่หลวงปู่มั่นบอกกับมหาทองสุกว่า ไปไม่ได้ เราไปไหนไม่ได้แล้ว ถ้าเราไปไหนนะ ประชาชนให้หมู่บ้านนี้ เขาจะเป็นเสือเย็นหมดเลย คือตายไปเขาจะไปเกิดเป็นผีสางหมดเลย เพราะเขาเข้าใจผิด

ฉะนั้นเราต้องอยู่พิสูจน์ แล้วท่านก็พูดกับมหาทองสุก ว่าลำบากนะแต่ต้องทนเอา คือไปอยู่กับคนเข้าใจผิด เขาจะไม่ยอมรับอะไรเราเลย แล้วฝนมันตก หน้าฝน ฝนมันตก อยู่ในป่าแล้วฝนลมแรง คิดดูสิว่าเราไปตากฝนอยู่อย่างนั้น อยู่เพื่ออะไร ก็อยู่เพื่อจะแก้ความเห็นผิดของเขานั่น เขาก็ส่งคนมาดู พอส่งคนมาดูนะ มาเฝ้าตลอดเวลาเลย ดูไปดูมาจนเขาทะเลาะกันนะ เขาทะเลาะกันว่า หลวงตาท่านเล่านะ หลวงปู่มั่นท่านรู้หมด อนาคตังสญาณที่ว่า ท่านจะเห็นรู้หมดไปหมดเลยว่าเขาจะเกิดอะไรขึ้น

พอเกิดการทะเลาะกันปั๊บ เขาก็เอาคนมาเฝ้าใช่ไหม คำว่าทะเลาะกัน คนเฝ้าบอกมันไม่มีอะไร วันหนึ่งกูเห็นเดินไปเดินมา เดินจงกรม ไม่ทำอะไรเลย ไม่มีอะไร ไม่มีโทษหรอก ไอ้นั่นก็ยังไม่เชื่อจนทะเลาะกัน สุดท้ายก็จัดเวรเข้ามาหาท่านเลย ตกลงกันเข้ามาคุยเลยว่า ท่านเป็นอะไร ท่านมาทำไม ทีนี้จะไปบอกเขาตรงๆ นี่ การแก้ความรู้สึก หลวงปู่มั่นพูด ฮู้ สุดยอดมาก เวลาไปอยู่กับพระเห็นไหม ภิกษุทั้งหลายภิกษุภาวนามาว่ะ ไอ้แก้จิตมันแก้ยากนะ เดี๋ยวผู้เฒ่าตายแล้วจะไม่มีใครแก้ ให้ภาวนามาผู้เฒ่าอยู่ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ

นี่พูดถึงเวลาท่านพูดกับพระตรงๆ อย่างนี้ แต่ท่านจะพูดกับชาวบ้านอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเขาเข้าใจผิด พูดอย่างนี้เขายิ่งเกิดทิฏฐิมานะ ยิ่งเกิดการปิดกั้น ท่านก็ทำเดินจงกรมของท่าน พอมานี้ก็มาถามว่าเป็นผีเย็นเหรอ ก็จะมาต่อว่าท่าน ท่านบอกว่าไม่ใช่ ท่านไม่ได้เป็นผีเย็น ท่านไม่ได้เป็นอะไรเลย ท่านมาแสวงหาโมกขธรรม หายังไง หาอะไร หาพุทโธ หาพุทโธ พุทโธเราหายหาพุทโธ แล้วถ้าหาเจอแล้วก็จะไม่มายุ่งไง ไอ้พวกนั้นบอก แล้วชาวบ้านช่วยหาได้ไหม ชาวบ้านช่วยหาได้ไหม ก็อยากให้มันหมดภาระ หาเจอจะได้ไปๆ ซะเนาะ ชาวบ้านช่วยหาได้ไหมล่ะ

ได้ ได้ ได้ ยิ่งดีใหญ่ ยิ่งชาวบ้านช่วยหา ยิ่งได้เจอง่ายขึ้น แล้วหายังไงล่ะ หาบอกว่า ให้หายใจเข้าให้นึกพุท หายใจออกให้นึกโธ พอเขาไปพุทโธ พุทโธกัน พอจิตมันลง หลวงตาบอก ผู้เฒ่ายี่ผู้ใหญ่บ้านมันลงก่อน พอมันลงก่อนใจมันสว่างหมด มันมองมาที่หลวงปู่มั่น โอ้โฮ มันใสหมด ก้มลงกราบแล้วกราบอีก เช้ามา ฮู้ ตุ๊โกหก ตุ๊โกหก ตุ๊บอกพุทโธหาย ตุ๊โกหก ตุ๊ว่าพุทโธหาย พุทโธตุ๊สว่างหมดเลย พุทโธ โอ๊ะ พลิกกลับเห็นไหม พอพลิกกลับขึ้นมาตอนนี้ก็ โอ้โฮย ทำทางจงกรมให้ อะไรให้อย่างดีไปหมดเลย

แก้จิต แก้ความเห็นของคน ยากมากๆ เลย พอแก้เสร็จแล้วนะ มันพ้นภาระแล้ว พ้นภาระกับความเห็นผิดของสังคม ถ้าสังคมมีความเห็นผิดอย่างนี้ เขาตายไป เขาก็เกิดเป็นเสือ เป็นเสือเป็นสิง สิ่งที่เขาเห็นผิดนั้น หลวงปู่มั่นบอกไปไหนไม่ได้ ต้องรออยู่จนแก้ทิฏฐิมานะ แก้อันนี้ให้มันหลุดพ้นไป พอแก้มันหลุดพ้นไปเห็นไหม

พอแก้เสร็จแล้ว พอถึงเวลาก็จะลาเขา โอ้โฮ ร้องห่มร้องไห้ ตุ๊ไปไหน ตุ๊ไปไหน อยู่ที่นี่ ถ้าตุ๊ตายก็จะเผาศพให้ ถ้าตุ๊ต้องการอะไรก็จะหาให้ ตุ๊อยู่นี่ ตุ๊อยู่นี่ เวลาเข้าใจผิด โอ้โฮ เอามาจับผิด เอามาคอยดู จัดเวรจัดยามมาเฝ้า เวลาเข้าใจถูกแล้ว เห็นไหม อ้อนวอนอาลัยอาวรณ์ไม่ยอมให้พลัดพลาด หัวใจนะ

โยม : โดยชาวโลกทั่วไปคุ้นเคยกับความคิด เขาคงสงสัยว่า ถ้าเผื่อเรามาทำความสงบ มันจะไปลอกอะไรในใจเราทีละขั้นยังไงถึงจะไม่ทุกข์ได้

หลวงพ่อ : มันไม่ทุกข์ มันไม่ทุกข์ ถ้าเรากำหนด ไอ้คำว่ามีปัญญา มีความคิด แล้วไปดูจิต ดูจิตนั้นมันก็คือการทำสมถะนั่นแหละ ไอ้ดูจิตนั้นคือทำสมถะ แต่หลวงตาเพราะท่านเคยดูจิตมาก่อน ท่านบอกว่าท่านกำหนดจิตมาก่อน แล้วจิตท่านเสื่อมไปปีกับหกเดือน สุดท้ายแล้ว เพราะท่านดูจิต จิตท่านเสื่อมไปปีกับหกเดือน กำหนดจิตไว้เฉยๆ ดูจิต พอมันขึ้นไปมันก็ไหลลงมาหมดตลอด สุดท้ายถ้ามันเสื่อมอย่างนี้มันอยู่ไม่ได้ มันเพราะเหตุใด มันไม่มีจุดยืน

ท่านจึงกลับมากำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธ ท่านพุทโธ ๓ วันแรก หัวอกแทบระเบิด แต่พอพุทโธๆๆ เห็นไหมความคิด ความคิดกับพลังงาน ตัวที่ว่าเกิดคือตัวจิต คือตัวพลังงาน แต่เพราะเราเกิดมาแล้ว มีสถานะเป็นมนุษย์ เราถึงมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ความคิด เพราะเป็นมนุษย์ถึงมีความคิด เป็นเทวดาก็เป็นกายทิพย์ เป็นพรหมนี่ขันธ์หนึ่ง มีความคิดไหม จิตทุกดวงมันเกิดในวัฏฏะ จิตทุกดวงมันเป็นอย่างนั้นหมด ถ้าจะบอกว่าจิตมีความคิดตลอดไป แล้วถ้าเกิดเป็นพรหมมีความคิดไหม ขันธ์เดียว แล้วเกิดในนรกอเวจีล่ะ

นี่พอเกิดเป็นมนุษย์ มันมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ พอมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เพราะอะไรการเกิดเป็นมนุษย์ พระพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ เพราะอะไร เพราะมนุษย์มีร่างกายบีบคั้น มนุษย์มีร่างกายนี้เพื่อใช้ปัจจัย ๔ แต่ถ้าเป็นเทวดา เขาอิ่มทิพย์ของเขาตลอดเวลา เขาไม่ต้องใช้ปัจจัย ๔ ฉะนั้นไอ้ปัจจัย ๔ นี้มันบีบคั้น พอบีบคั้นมันเห็นทุกข์ไง บอกว่าเกิดเป็นมนุษย์นี่มีโอกาสมาก เพราะอะไร ถ้ามึงไม่เห็นทุกข์นะ มึงนั่งเฉยๆ เดี๋ยวท้องมึงจะร้องจ๊อกๆ เลยล่ะ แล้วทุกข์เป็นอริยสัจเป็นยังไงเดี๋ยวจะรู้

มันบังคับมาอย่างนี้ใช่ไหม พอมันมาอย่างนี้ปั๊บ มันทำให้เราเตือนสติเราว่านี่ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ถ้าทุกข์เป็นความจริง มันมีของมันอยู่แล้ว ทีนี้เวลากำหนดพุทโธๆๆ เพราะความคิดเป็นพลังงาน พลังงานสิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด มันเคลื่อนผ่านอะไร ก็เคลื่อนผ่านความคิดนี่แหละ ถ้าไม่มีความคิดมันจะเคลื่อนไปอย่างไร พอผ่านความคิด พอเราพุทโธๆๆ จนความคิดกับพลังงานมันกลับมาเป็นหนึ่งเดียวเห็นไหม พอกลับมาเป็นหนึ่งเดียวมันเป็นสัมมาสมาธิ

พอเป็นสัมมาสมาธิ อย่างที่พูดเมื่อกี้ โลกุตรปัญญามันจะเกิด แต่โดยปัญญาปัจจุบัน ที่เราใช้ความคิดมันคิดอยู่ มันเป็นโลกียปัญญาๆ เพราะอะไร ความคิดเกิดบนอะไร ความคิดของโยมมันมาจากไหน ความคิดมาจากไหน ถามตัวเอง ถามตัวเองว่าความคิดมาจากไหน มาจากสมองเหรอ ความคิดมาจากไหน ความคิดมาจากจิต ไม่มีจิตไม่มีความคิด คนตายคิดไม่ได้ ถ้าความคิดมันมาจากจิต แล้วคอมพิวเตอร์มันคิดยังไง คอมพิวเตอร์มันมีโปรแกรมของมัน มันถึงคีย์ไปตามโปรแกรมของมัน

นี่เหมือนกันในเมื่อมันมีจิต มันมีความคิดใช่ไหม เราไปดูที่ความคิดๆ พอความคิดดับ จิตเป็นสมาธิไหม ถ้าเราบอกดูจิตผิด หลวงปู่ดูลย์ผิดไหม ไปดูในเว็บไซต์เราได้ เราไม่เคยบอกหลวงปู่ดูลย์ผิดเลย เราบอกหลวงปู่ดูลย์ถูก ลูกศิษย์ต่างหากผิด เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านทำถูก เพราะดูจิต จนจิตเห็นอาการของจิต อย่างพูดเมื่อกี้นี้ แรงกระทบที่เปลี่ยนอิริยาบถ ถ้ามันจิตสงบเข้ามา มันเสวยอารมณ์ พลังงานกับความคิด ถ้าไม่มีพลังงานกับความคิด วิปัสสนาไม่เกิด

วิปัสสนามันเกิดต่อเมื่อมีพลังงาน พลังงานคือตัวจิต คือสัมมาสมาธิ แล้วกระทบกับความคิด ความคิดคืออะไร ความคิดคือขันธ์ ๕ ความคิดไม่ใช่เรา ฉะนั้นกำหนดพุทโธๆ เข้าไป พอพุทโธเข้าไป มันเป็นตามข้อเท็จจริงไง แต่ว่าดูจิตๆ นี่ เขาว่าดูจิตใช่ไหม แล้วดูจิตแล้วมันจะเป็นวิปัสสนา มันจะรู้สามัญลักษณะ ลักษณะของกิเลสไง กิเลสมันหลอก กิเลสอ้างธรรมพระพุทธเจ้า ดูที่ความคิดนะ เรามองสภาพนี้ให้ว่างหมดเลย แล้วให้มันว่าง ว่างไว้ได้ไหม ได้ ว่างข้างนอก แต่ตัวเราอึดอัดขัดข้อง

นี่ก็เหมือนกันดูความคิด แล้วความคิดมันหายไปหมดเลย แล้วว่างจริงหรือเปล่า เราไม่เชื่อนะว่าพวกดูจิตได้สมาธิ เว้นไว้แต่ทำถูกแบบหลวงปู่ดูลย์ พวกดูจิตนี้ ยังไม่รู้จักสมาธิเลย โยมที่นั่งกันอยู่นี่ บัญชีธนาคารทั้งหมดยกมาให้เราหมดเลย แล้วโยมจะทำอะไรกันต่อไป เราบอกตัวสมาธิคือตัวต้นขั้วคือตัวจิต คือตัวบัญชีนั้น โยมทำหน้าที่การงานกัน โอนเข้าโอนออกตามบัญชีนั่นนะ แล้วถ้าบัญชีนั้นมันไม่มี โยมทำประโยชน์อะไรกันได้บ้าง

ถ้าไม่มีสมาธิจะทำอะไรได้ ไม่มีตัวจิตจะทำอะไรได้ อย่าตอแหล ตอแหลกันทั้งนั้น ถ้ามันมีตัวจิต มันมีบัญชี มันมีต้นขั้ว มันจะรู้ของมันว่ากูมีอะไรบ้าง เงินในบัญชีนี้ทุกคนรู้หมดใช่ไหม แล้วทำไมต้องมาถามกูว่าบัญชีมึงเท่าไร ไม่รู้อะไรกันเลย บัญชีอยู่ที่ตัวแท้ๆ ยังไม่รู้ว่าในบัญชีตัวเองมีเท่าไร ต้องมาถามว่าฉันได้อะไรแล้ว ฉันได้ขั้นไหน แล้วแม่งอาจารย์ก็บอกว่า มึงก็ได้ขั้นนั้นๆ บัญชีมึงแท้ๆ เลย ทำไมต้องให้อาจารย์บอกว่าบัญชีมึงมีเท่าไร ไม่ใช่ปัจจัตตัง ไม่สันทิฏฐิโก โสดาบันเป็นยังไง โสดาบันบอกมา โสดาบันเป็นยังไง

เราถามเขาไปแล้ว ลูกศิษย์ถามไป โสดาบันเป็นยังไง โสดาบันก็เบื่อๆ ไง เบื่อๆ ก็กูกินเหล้ามาแล้วกูก็เบื่อ เบื่อ เบื่อมากเลย เดี๋ยวจะกินใหม่ มันเป็นไปไม่ได้ เราจะบอกว่าวุฒิภาวะของคนสอนไม่มี คนสอนไม่มีวุฒิภาวะ แล้วไปพูดในหมู่คนที่ไม่รู้ก็ว่ากันไป แต่ในหมู่ที่คนรู้นะ ผู้มีศีลมีธรรมองอาจกล้าหาญในทุกที่ ถ้าที่ไหนมีจริงต้องกล้าเข้าไปหาสิ่งจริงให้พิสูจน์กัน ที่ไหนเป็นของจริง ถ้าเราจริงต้องเข้าไปตรงนั้น แร่ธาตุที่มันจริงเหมือนกัน เข้าไปอยู่ด้วยกัน มันทำไมไม่จริงเหมือนกันล่ะ แร่ธาตุที่มันเหมือนกัน

นี่ไงบอกว่าพุทโธๆ แล้วมันจะแก้ไขได้ยังไง มันเป็นพื้นฐาน จะบอกว่าพุทโธนี่เป็นสมถะ มันแก้กิเลสไม่ได้อะไรไม่ได้ โทษนะเรานั่งกันอยู่ อยู่ตลอดเลย แล้วเอาแบงก์มากินกัน เอาแบงก์มาแล้วเคี้ยวกินเลยได้ไหม แต่แบงก์นี้มันซื้ออาหารกินได้นะ แล้วบอกสมถะนี้มันไม่มีประโยชน์ สมถะนี้มันคือแบงก์ พุทโธนี่จิตเป็นสมาธินี่มันคือแบงก์ ที่จะไปจับจ่ายใช้สอยอะไรก็เป็นประโยชน์หมด

แล้วเราไม่มีอะไรกันเลย สมถะก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ กินกระดาษกันไหมล่ะ เราจะกินกระดาษหรือกินข้าว ถ้าจะกินข้าวเราไม่ได้ทำนา เราก็เอาแบงก์ไปแลกมา เรามีสมาธิแล้ว สมาธิออกรู้นี่นะ มันจะเป็นโลกุตรปัญญา ไม่มีสมาธินะ กินแต่เมนูอาหาร เข้าไปร้านนะ ข้าวขาไก่ข้าวขาหมู มันมีแต่รูปเมนูไง เอ็งกินตรงนั้น กูจะกินข้าวขาหมู มึงไปกินไอ้รูปข้าวขาหมูนั่น ถ้าไม่มีสมาธินะ

สมาธิมันแก้กิเลสไม่ได้ แต่สมาธิเป็นพื้นฐานให้เกิดโลกุตรปัญญา ถ้าไม่มีสมาธิ ความคิดเกิดบนจิตเรา จิตมีอวิชชา จะละเอียดหยาบขนาดไหน มันเป็นปัญญาของกิเลส เป็นปัญญาของตัวตนเราหมด ทั้งๆ ที่ตรึกธรรมะพระพุทธเจ้าๆ ตรึกนิพพานๆๆๆๆ กูคิดนิพพานๆๆ นิพพาน โอ๋ย นิพพานนี่สุดยอดอยู่แล้ว แล้วคิดนิพพาน แต่คิดโดยกิเลสของเรา ไม่เป็นความจริง ไม่เป็นความจริง

แต่ถ้าเป็นความจริง จิตมันสงบมาแล้วนะ ไม่ต้องคิดถึงนิพพาน ให้จิตมันออกใช้ปัญญา ให้มันรู้จักนิพพานของมันเอง ให้มันรู้มันเห็น พอรู้มันเห็นมันฝึกมันสอนจิต จิตมันผงะเลยนะ โอ๊ะๆๆ เป็นอย่างนี้เหรอ เป็นอย่างนี้เหรอ คาดการณ์คาดหมายไว้ ไม่เหมือนความจริงทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ จะไม่มีสิ่งใดดั่งคาดดั่งหมายเลย ไม่มี แล้วเข้าไปมันผงะหมด นี่ผลของสมาธิ ถึงบอกว่า ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติเป็น เพราะมรรค ๘ มันมีสัมมาสมาธิ

ถ้าบอกสมาธิไม่สำคัญ หรือสำคัญแต่ทีหลังมันจะอะไรน่ะ มันเป็นข้ออ้าง มันเป็นข้ออ้าง แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริง เวลาหมอจะผ่าตัด บอกว่ามันไปอาบน้ำขึ้นมา หรือมันไปเล่นดินเล่นโคลนขึ้นมาแล้วผ่าตัดเลยได้ไหม จิตมันสกปรกอยู่ มันยังคิดตามธรรมชาติของมัน มันจะมาผ่าตัดได้ไหม สมาธิไง ทีนี้คนไปเห็น เราเป็นหมอเป็นอะไรก็แล้วแต่นะ คนไข้ก่อนจะผ่าตัดเห็นไหม เขาต้องทำความสะอาด ขณะผ่าตัดต้องเข้าห้องปลอดเชื้อ

แล้วนี่มึงจะทำ มึงจะแก้กิเลสกัน ที่ไหนเชื้อโรค ตัณหาทะยานอยากเต็มไปหมดเลย ผ่าตัดแม่งตรงนั้น ผ่าเสร็จมึงติดเชื้อด้วย ว่างๆ ดูจิตสบายๆ ที่ไหนก็ได้ ผ่าตัดแม่งกลางขี้หมูราขี้หมาแห้งก็ไม่เป็นไร ที่ไหนก็ทำได้ สุดยอด กูไม่เคยเห็น! มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อกี้ดูถูกวิทยาศาสตร์เห็นไหม นี่พูดอิงวิทยาศาสตร์เห็นไหม ให้เห็นภาพเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก เป็นไปแล้วนะ ติดเชื้อกันหมด ตอนนี้สังคมไทยติดเชื้อหมดแล้ว ที่เราออกมาพูด เพราะเราสงสารสังคมไทยเพราะอะไรรู้ไหม

อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ กะเหรี่ยงคนชาวป่าชาวดอย เขารู้จักประเพณีวัฒนธรรม เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร พวกเราผู้บริหารแล้วมีศักยภาพ ได้โสดาบัน ได้สกิทาคา อนาคากันเลยนะ ไอ้กะเหรี่ยงมันหัวเราะเยาะ นี่ก็เหมือนกันเราทำงานอยู่ในองค์กร ไอ้พวกระดับบน แหมได้อริยมรรคผลกันหมดเลย ไอ้ข้างล่างมันหัวเราะเยาะอยู่นะ ไอ้ข้างล่างมันหัวเราะเยาะอยู่เพราะอะไร เพราะมันตักบาตรทุกวัน มันอยู่กับพระอยู่กับเจ้ามานาน มันเห็นไอ้ส่วนบนกำลังโดนหลอก แต่มันพูดไม่ได้

ตอนนี้พระสงบพูดแทน พระสงบกำลังพูดแทนสังคมไทยอยู่ว่า ไอ้ส่วนบนของสังคมไทย ให้มีสติสัมปชัญญะ แล้วตรวจสอบใจของตัวให้ดีๆ อย่าให้เขาขโมยหัวใจของพวกเอ็งไปนะโว้ย ตรวจสอบหัวใจให้ดีๆ ไอ้ที่พูดนี่นะ พูดแทนสังคมนะ ให้สังคมมีสติสัมปชัญญะขึ้นมา ให้สังคมไทยเรามีสติ ไม่ได้พูดเพื่อใครนะ พูดเพื่อคน ที่มีสติสัมปชัญญะ คนๆ นั้นมันจะได้ เราปกครองเขา เราดูแลเขา แล้วเขาคิดมองเราอย่างใด ส่วนที่เขาดูแลเราอยู่ เขามองเราอย่างใด โธ่พระไปอยู่กับกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงมันยังสอนเลย กะเหรี่ยงมันรู้วัฒนธรรมนะ

โยม : จะถามหรือเปล่า อยากถามหรือเปล่า ถามได้ หลวงพ่อตอบทุกคำถาม จริงๆ ตอบหมดแล้วนะ เพียงแต่ฟังรู้เรื่องหรือเปล่า หลวงพ่อพูดหมดแล้ว

หลวงพ่อ : นี่พูดถึงวันนี้ดี เพราะมันมีเด็กมาใช่ไหม มันมีความเห็นใหม่ๆ มา มันพูดโดยหลักแล้วอธิบายเรื่อยๆ แล้วอันนี้เกี่ยวกับสังคมไทย เพราะในเว็บไซต์ถ้าไปดูแล้วจะพูดแรง คำว่าแรงของเรา เหมือนกับเราอยู่กับหลวงปู่จวนมา เวลาหลวงปู่จวนท่านพูดนะ ท่านพูดถึง เขาเรียกว่าพูดเหมือนหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ตื้อหลวงตาจะบอกมาพูดยอดธรรม

นี่หลวงปู่จวนท่านก็พูดยอดธรรม ยอดธรรมท่านจะพูดอย่างที่หลวงตาว่าอย่างเรื่องอวัยวะเพศ อันนี้พอพูดงั้นปั๊บ พวกชีเขาบอกว่า พูดอย่างนี้มันยิ่งจะไปกระตุ้น ก็พยายามขอร้องให้ท่านพูดหลีกเลี่ยงตรงนี้หน่อยหนึ่ง แต่ทีนี้พอไปขอร้องให้พูดหลีกเลี่ยง ท่านบอกว่า มันไม่เป็นธรรม มันเหมือนกับ ทีนี้เราก็คุยกับพวกพระด้วยกันเอง พระด้วยกันบอกว่าถ้าเราพูดอะไร เหมือนกับเราพูดอะไรไม่เต็มร้อย มันไม่สะใจ มันไม่ออกมาจากหัวใจ งั้นเวลาท่านพูดอย่างนั้น ท่านพูดอย่างนั้นจริงๆ

เราอยู่กับท่านนะ มันมีอยู่ทีหนึ่งเราไปธุดงค์กัน แล้วที่นี้มันมีปลาร้าใช่ไหม มันมีไหปลาร้า เขาเอาปลาร้ามาตำส้มตำ มาทำน้ำพริกนี่แหละ ทีนี้เส้นผมมันตกลงไปพวกแม่ชี โฮยท่านเปรียบเหมือนอวัยวะเพศเลยว่า รักษาไม่เป็น รักษาไม่ได้ แม้แต่ผมยังจะตกลงไป ท่านพูดอย่างนั้นเลยนะ ท่านพูดให้คนทำมันได้คิด ทีนี้พอพูดอย่างนี้ไปปุ๊บ ไอ้เราฟังแล้วมันก็ดูแรง ทีนี้เราจะบอกว่าเวลาเราพูดแรง แรงเพราะอะไร แรงเพราะมันสะใจ มันเต็มคำดี มันเต็มคำพูดเรา ถ้าให้เราพูดครึ่งๆ คำ มันพูดไม่เต็มปาก

โยม : เดี๋ยวนี้หลวงพ่อพูดแรงกว่า ๓ ปีก่อนเยอะ

หลวงพ่อ : เยอะ แรงกว่าก่อนเยอะเพราะอะไร เพราะคำถามมันเข้ามาเยอะ แล้วมันกระตุ้นมาก กระตุ้นแบบกระแส เขาเรียกอะไรนะ หุ้นขึ้น กระแสมันขึ้นลมบน มันพูดทุกวัน แล้วนี่ยังดีนะนี่โยมมา แล้วโยมเรามันพูดทุกวัน โยมเรามันฟังเทศน์มา ๒๐ ปีนะแล้ววันไหนพูดไม่ถึงใจ ไม่สะใจ วันนี้ไม่มันเลย ยิ่งพูดยิ่งต้อง เขาเรียกว่า อยู่หลวงตามา หลวงตาท่านบอกว่า กิเลสมันอยู่ในใจดำ ฉะนั้นเวลาพูดให้สะเทือนกิเลส มันต้องพูดทิ่มไปที่ใจดำ

บางทีเวลาหลวงตาเทศน์ พวกเราฟังเทศน์ขนลุกเลยนะ ขนลุกเลยเพราะสะเทือน ถ้าสะเทือนอย่างนี้ปั๊บสะเทือนกิเลส เพราะมันพูดปั๊บ หลวงปู่มั่นไปเทศน์ที่วัดเจดีย์หลวง พอเทศน์จบ สมเด็จมหาวีรวงศ์ท่านพูด หลวงปู่มั่นท่านเทศน์เรื่องใกล้ๆ ตัวเรา เรื่องชีวิตประจำวันเรานี่แหละ แต่พวกเรามองข้ามกันหมดเลยเห็นไหม ท่านก็เทศน์เรื่องชีวิตประจำวันที่เราทำผิด ทำๆ กันอยู่นี่แหละ แต่เราไม่เอามาคิด เวลาหลวงปู่มั่นเทศน์นะ โอ้โห้น้ำไหลไฟดับเลยนะ แล้วพวกเราฟังแล้วนะ สะเทือนใจ

ทีนี้พอเรายิ่งทำละเอียดเข้าไป มันก็พูดถึงความคิด พูดถึงความหลงในตัวเอง มันก็มีกับเราทุกคน แต่ไม่รู้ไม่เห็นนะ พอท่านพูดขึ้นมา นี่แทงใจดำ หลวงตาท่านบอกว่าเวลาเทศน์ไม่ต้องขออนุญาตกิเลส ทิ่มเข้าไปเลย พอทิ่มเข้าไปเลยนะ มันสะเทือน พอมันสะเทือน นั่นล่ะเราให้ยาถูก ให้ยาโดนเลย แต่ถ้าเราให้ยาไม่ถูก เป็นหมอไม่ดี เลี้ยงไข้ เราต้องให้ยา ผัวะ! เลย ฉะนั้นมันเลยเป็นนิสัย ทีนี้คำว่าแรง แรง เราก็รู้อยู่ แต่แรงของเรานะ มันแรงด้วยข้อเท็จจริง

มันแรงด้วยความจริง คำว่าอารมณ์แรง พูดด้วยความรุนแรง แต่แรงด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่แรงด้วยอารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ข้อเท็จจริง เพราะมันกระตุ้น แต่อารมณ์ความรู้สึกมันประสาเราว่า ก็พูดเหน็บเขาไง พูดเหน็บพูดแนมอารมณ์ความรู้สึก แต่นี่พูดด้วยข้อเท็จจริงแต่แรง แรงเพราะมันสะใจ วันนี้ก็พูดตอนเช้าพูดอย่างนี้ เราบอกว่าเราได้ทำหน้าที่เราแล้ว ประสาเรา เราจะทำหน้าที่เรา เราจะพูดความจริง แล้วพวกผู้ฟัง ก็หน้าที่ของโยมแล้ว หน้าที่ผู้ฟังว่าอันนี้จะเป็นดอกไม้หรือก้อนหินก็ไม่รู้

โยม : มีอะไรหรือเปล่า ถามได้ มีไหม

หลวงพ่อ : เออ มีอะไรไหม อ้าวว่าไป

โยม : ในวันนี้ก็คือที่ได้ตั้งใจมาร่วมกันทำบุญให้กับคุณพ่อที่ล่วงลับไป

หลวงพ่อ : ว่าไป

โยม : ก็เลยจะรบกวนหลวงพ่อ เทศน์เรื่องของอานิสงส์ของการดูแลบิดามารดานะครับ เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้ปฏิบัติใหม่ครับหลวงพ่อ

หลวงพ่อ : พูดบ่อยนะ เพราะมันเป็นวัย อย่างเด็กเล็กเด็กอ่อนขึ้นมา มันโดยวัย พอโดยวัยมันปิดกั้นไปหมด เราบอกว่าพ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกนะ แต่ไม่ใช่พระอรหันต์ของสังคม พระอรหันต์ของสังคม พระอรหันต์ของสังคมคือว่า จิตของท่านสะอาดบริสุทธิ์ แต่คำว่าเป็นพระอรหันต์ของลูกคือสิทธินะ

วันนี้เราพูดแบบนั้นเหมือนกัน บอกว่าถ้าเอาเป็นวัตถุ พ่อแม่คลอดเรามา ถ้าเราเป็นวัตถุนะ นี่คือสมบัติของพ่อแม่จริงไหม เพราะแม่คลอดเรามา แต่นี้เป็นสิ่งที่มีชีวิต มันก็เลยเป็นสิทธิของเราเหมือนกัน ฉะนั้นสิ่งที่เขาเป็นเจ้าของ เขาให้กำเนิดเรามา เขาให้กำเนิดบุญคุณเห็นไหม บุญคุณมหาศาลเลย นี่การกตัญญูกตเวที การเคารพพ่อแม่

การเคารพพ่อแม่เป็นการแสดงออกเครื่องของคุณงามความดี เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เห็นไหม เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ด้วยกาย เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ด้วยใจ เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ด้วยกายเห็นไหม ให้พ่อแม่อยู่ร่มเย็นเป็นสุข แล้วพ่อแม่เป็นสุขไหม พ่อแม่ก็ห่วงลูก แต่ถ้าเลี้ยงด้วยใจ เลี้ยงพ่อแม่ด้วยใจนะ เลี้ยงพ่อแม่ด้วยกายด้วย เลี้ยงพ่อแม่ด้วยใจด้วย ใจพาทำบุญกุศล ถ้าพ่อแม่ลืมตาอ้าปากของใจได้นะ เราเลี้ยงด้วยกายก็ตายชาตินี้แหละ

ถ้าเลี้ยงด้วยใจนะพ่อแม่ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม ถ้าพ่อแม่สิ้นกิเลสไป นี่มันชาติหน้าก็ได้กินไง ได้กินไปทุกภพทุกชาติไง แต่เราใช้จ่ายเฉพาะชาตินี้ เราใช้จ่ายในทุกภพทุกๆ ชาติขึ้นไป นี่เวลา อะทาสิ เม อะกาสิ เม เวลาเขาสวดศพกันเห็นไหม อย่าร้องไห้อย่าเสียใจ เวลาพ่อแม่คนที่รักที่ผูกพันเราเสียไปตายไป ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องเสียใจ เมื่อก่อนคนยังโง่อยู่ เคารพบูชาภูเขา กราบต้นไม้ กราบไฟ กราบภูเขา เพราะอะไร เพราะเขาไม่มีศาสนา

ทีนี้ศาสนาเกิดแล้วๆ บอกให้ทำคุณงามความดีถึงกัน ที่มาทำบุญกุศล ให้ทำความดีถึงกัน ให้นึกถึงอุทิศส่วนกุศลจากใจดวงหนึ่ง ไปสู่อีกใจที่ตายไปแล้ว ให้ทำความดี อะทาสิ เม อะกาสิ เม ไปแปลสิ เวลาสวดศพนั่น ให้ทำคุณงามความดีถึงกัน แล้วอุทิศคุณงามความดีนี้ จากจิตดวงนี้ไปสู่จิตดวงที่ตาย ตายไปแล้ว แล้วบอกว่าตายไปแล้ว แล้วอุทิศมันจะได้ยังไง แล้วคนเป็นอุทิศได้ไหมล่ะ แล้วเอ็งทำไม ทำบุญให้หลวงหรือเปล่า ความดีนี่เราให้ได้ทุกๆ คน

เวลาเราแผ่เมตตาเห็นไหม ขอให้ทุกคนมีความสุข มีความร่มเย็น มีความคิดดีๆ มีความคิดที่ปลอดโปร่ง มีความคิดไม่เบียดเบียนกัน เหมือนเราอุทิศส่วนกุศลไป เราคนใกล้ชิดกันเราเห็นหน้ากัน โอ้ เห็นหน้ากันแล้ว โอ้ สบายใจหนอ มันปลอดภัยไง พอไม่เห็นหน้ากัน โอ้โฮ ไม่กล้า ไอ้นี่มันโจรไม่อยากมองหน้าใครเลย เห็นไหม ความคิดดีๆ เห็นไหมให้คนอุทิศความคิดดีๆ ความจริงเราคิดบ่อยนะ ลูกศิษย์เขาพูดบ่อย บอกว่าบางคนคิดอย่างนี้ได้ยังไงเนาะ ความคิดที่เขาฉ้อฉล เขาคิดจนเราคิดไม่ถึง อุ้ย ความคิดอย่างนี้มันคิดได้เว้ย

นี่ความคิดของเขา พอความคิดอย่างนี้มันเกิดขึ้นมา เราไม่รู้เรื่องเลย แต่นี้เราคิดถึงพ่อแม่เราเห็นไหม เราทำสิ่งที่ดีแล้วอุทิศส่วนกุศล บุญกุศลอันนี้มันอุทิศไป เราจุดขึ้นมาเล่มหนึ่ง เราจะต่อเทียนให้ทุกๆ ล้านเล่มพันเล่ม เทียนเราก็ยังอยู่ มันเป็นนามธรรมนะ ทำบุญกุศลแค่นี้ แล้วอุทิศได้สามโลกธาตุเลย เฮ้ย มันจะแบ่งกันกินพอเปล่าวะ เหลือเฟือๆ เลย เพราะเขาไม่ได้กินอย่างนี้

นี่ไงในวัฏฏะไง อันนี้มันเป็นสื่อนำ เครื่องแสดงออกของใจ ถ้าพูดถึงบุญกุศลเป็นวัตถุนะ เอ็งสู้แม็คโครไม่ได้ โลตัสมีมากกว่าเอ็งอีก โลตัสมันได้บุญมากที่สุดเลย มันกองอยู่นั่น แต่มันไม่มีบุญหรอก เพราะมันทำธุรกิจ ไอ้เรานี่มันแสดงออกน้ำใจ น้ำใจนี้มันจะเป็นบุญขึ้นมาได้ คือการเสียสละ คือการเสียสละเห็นไหม จากใจดวงหนึ่งสู่ใจอีกดวงหนึ่ง จากมือของเราสู่มือของคนหนึ่ง มาทำบุญ เนื้อนาบุญของโลก

เนื้อนาบุญของโลก เราหว่านลงไปในเนื้อนา เนื้อนาไหนมันมีคุณประโยชน์ เนื้อนาที่ดี ดินที่ดี อากาศที่ดีมันจะได้ประโยชน์มาก เขาถึงแสวงหากัน พอแสวงหาสิ่งนี้ขึ้นมา พอทำบุญกุศลแล้ว ใจอุทิศส่วนกุศลถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา เจ้ากรรมนายเวร เราเคยมีเวรมีกรรมต่อกันๆ มีความบาดหมางต่อกัน เราอุทิศส่วนกุศลให้เขา เราขอโทษเขา ให้เวรกรรมนั้นมันจะเจือจางกันไป เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เวรยิ่งจองเวรต่อกัน จะไม่มีวันจบวันสิ้น

ผู้ชนะได้มีความพอใจ ผู้แพ้อาฆาตแค้น เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เจ้ากรรมนายเวรอุทิศส่วนกุศลให้เขา ใครทำไม่ดีกับเรา ก็ เออ อโหสิกรรมกับเขา แต่ทำยากนะ ทำยาก แต่ต้องทำ เพราะมันเพื่อประโยชน์ต่อเรา ทำอย่างนี้เพื่อเรา แพ้เป็นพระชนะเป็นมาร แพ้เป็นพระ เราไม่ใช่แพ้แบบสังคม สังคมเขามีแพ้มีชนะกัน คำว่าแพ้เป็นพระ เราศึกษาธรรมะ เราเป็นพระผู้ประเสริฐ

เราเข้าใจ เราคุมเกม ในเมื่อสิ่งนั้นมันเป็นโทษเป็นภัยเห็นไหม เรามีสติสัมปชัญญะ ควบคุมเขา ควบคุมด้วยปัญญาของเราเห็นไหม เราควบคุมเกมส์นั้นได้ เราควบคุมสิ่งนั้นได้ อุทิศส่วนกุศลให้เขา ให้เขาเป็นคนดีขึ้นมา เห็นไหม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร เมื่อกี้พูดจะเป็นจะตายเลย จะฆ่าเขาเลยเห็นไหม ตอนนี้บอกว่าห้ามจองเวรแล้วเห็นไหม (หัวเราะ) ไอ้จะฆ่าจะแกงเมื่อกี้ มันฆ่าแกงกิเลส มันฆ่าแกงความเห็นผิด

ความคิดความเห็นนี่เป็นนามธรรม เราต้องทำลายความเห็นผิด ความคิดอันนี้ต่างหากล่ะ เราไม่ได้พูดถึง ไปฆ่าคน ฆ่าคนทำลายคน เราไม่ได้พูดถึงนะ เราพูดถึงการทำลายความรู้ความเห็นที่ผิดพลาด ความเห็นผิดในใจ นี่บุญกุศลเป็นอย่างนี้ พูดถึงระดับของทาน ระดับของศีล ระดับของภาวนา เมื่อกี้พูดระดับของภาวนา ระดับของปัญญา เพราะเห็นว่าเป็นปัญญาชน ปีนบันไดฟังเลยล่ะ นี่ย้อนกลับมาสู่ดิน

โยม : หลวงพ่อ คำถามเอาง่ายๆ เลย ให้เป็นรูปธรรมหน่อยครับว่า เขาบอกว่าถ้าลูกชายบวช แล้วพ่อแม่ได้เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์นะครับ ให้เป็นรูปธรรม หลวงพ่อจะอธิบายอย่างไร

หลวงพ่อ : พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป นี่เรื่องจริง เรื่องจริงตรงไหน บุญกุศลเป็นนามธรรมที่เราเห็นไม่ได้ เป็นรูปธรรมเลย เป็นข้อเท็จจริงเลย ศาสนาพุทธ ตั้งแต่พระพุทธเจ้านิพพานมา พระยังไม่สึก ที่ภิกษุณีๆ ขาดไปเพราะไม่มีผู้สืบต่อไง เขาเรียกว่าให้ยกเข้าหมู่ ถ้าไม่มีพระ ไม่มีสมมุติสงฆ์ มันจะญัตติจตุตถกรรม ยกสงฆ์ขึ้นมาหมู่ไม่ได้ ฉะนั้นมันมีพระสืบต่อมา มดแดงเฝ้ามะม่วง รักษาไว้ มะม่วงคือธรรมะ ธรรมของพระพระพุทธเจ้า พระก็มาสืบต่อไว้ๆ มดแดงมาค้ำศาสนา

เห็นไหมทางอีสานทางเหนือเขานี้ ค้ำโพธิ์ ค้ำโพธิ์ ค้ำโพธิ เราค้ำศาสนาไว้ เราเอา ลูกเรามาเป็นมดแดงเฝ้ามะม่วงไว้ มะม่วงก็รักษาไว้ แล้วทำมาบวช นี่ลูกเรามันเป็นอะไร ลูกเราก็คือเลือดเนื้อเชื้อไข ไข่ของแม่ พอเกิดมาก็กินเลือด กินน้ำนม กินเลือดในอก เอาเลือด เอาเนื้อ เอาเชื้อไขมาค้ำศาสนา พ่อแม่ได้บุญไหม ลูกบวชนะจริงๆ ก็คือเท่าพ่อแม่บวชนั่นแหละ เพราะพ่อแม่เป็นเจ้าของลูก เราเลี้ยงมาๆ แล้วมาค้ำศาสนา บุญเกิดตรงนี้ไง พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป

เวลาลูกบวชปั๊บออกจากโบสถ์นะ พ่อกับแม่ได้ ๑๖ กัป คือบุญ นี่ไงที่เขาต้องการบุญ บุญคือเหมือนตอนนี้ทางโลก เอดส์ไม่มียารักษา ทุกอย่างยาที่ไม่รักษา เขาต้องการจะรักษาใช่ไหม ธรรมะที่รักษากิเลส ธรรมะที่รักษาโรคกิเลส ยาที่สะอาดบริสุทธิ์ ธรรมะโอสถ แล้วไม่มีใครรักษา แล้วลูกเรามารักษาไว้ แล้วถ้าใครมาเปิดธรรมะอันนี้ ใครมาเอายานี่รักษาโรคเขาหาย คือรักษากิเลสหาย เรารักษายานั้นไว้ แต่โลกเขาหายาไม่ได้ แต่นี่ยามีอยู่แล้ว แล้วเอาลูกเรามาค้ำไว้ พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป

เพราะพ่อแม่ได้รักษาธรรมวินัย ธรรมะโอสถนี้ไว้ให้กับเทวดา อินทร์ พรหม ให้กับศาสนานี้ไว้ ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนี้จะนั้นพอลูกบวชพ่อแม่ได้ ๑๖ กัป นี้พอลูกบวชแล้วนะได้ ๑๖ กัปตอนบวชนั่น เพราะธรรมค้ำศาสนาแล้ว แล้วทีนี้อายุที่พระบวชสั้น บวชยาวเห็นไหม พระบวชสั้นบวชยาวก็อยู่ที่ตัวพระแล้ว ตัวผู้บวช บัณฑิต บัณฑิตคือการรู้ข้อเท็จจริงในศาสนา บัณฑิตคือรู้เรื่องสัจธรรมในการดำรงชีวิต

ทิศ บริหารทิศเป็น ทิศบนศีรษะคือครูบาอาจารย์ ทิศเบื้องหน้าคือพ่อคือแม่เห็นไหม หมู่คณะนะ คนใช้ บริหารทิศคือบริหารชีวิตเราไง ออกไปแล้วเราทำงาน เราจะเป็นผู้บริหารขึ้นมา เราจะมีบริษัท บริวาร เราจะมีหมู่คณะ เราจะมีเพื่อน เพื่อนแท้มิตรแท้ มิตรเทียม หามาแล้วจะเลี้ยงพ่อ เลี้ยงแม่ มาบวชพระ มันพระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ว แล้วมาศึกษาเพื่อดำรงชีวิตเป็นคนสุก บวชพระเป็นคนสุก ทีนี้อย่างบวชแล้วพุทโธๆ นี่ศึกษาอะไร

พุทโธๆ จะบริหารชีวิตเป็นเหรอ เป็น เป็น เพราะทุกอย่างมาจากจิต นี่พูดถึงเวลาบวช บุญเป็นอย่างนี้ เวลาบวชบุญที่ได้ ได้อย่างนี้ อย่างเช่นพ่อแม่ ถ้าลูกบวชมาแล้วอย่างนี้ ลูกรู้การบริหารชีวิต บริหารความจริง ที่ให้ศึกษาอยู่ว่าอะไร ที่ศึกษามาเพื่อให้มีวิชาชีพ แล้วมาศึกษาเพื่อให้ลูกฉลาดเห็นไหม เขาเรียกว่ามีศีลธรรม จริยธรรม ฉลาดด้วยดีด้วย อยากให้ลูกเป็นคนดี อยากให้ลูกมีความสุข พ่อแม่ก็ปรารถนาแค่นี้ แล้วถ้าเขามีศีลธรรมจริยธรรม เขาจะเป็นคนดีไหมล่ะ นี่มองทางโลกนะแต่ไม่ได้มองทางธรรม

มองทางธรรมคือค้ำยันศาสนา เราจะบอกเลยเราเปรียบเทียบนะ ในประเทศไทย เมื่อก่อนที่ยุคศึกสงครามมา มันรอดมาจากใคร รอดมาจากพลทหาร นี่ก็เหมือนกันบวชเข้ามาเป็นพลทหารเป็นไอ้เณร ๓ เดือนสึก บวชมาเป็นไอ้เณร บวชเข้ามาเป็นพระใหม่ แต่ก็จำนวนของพระเห็นไหม พระมีกี่แสนๆ นี่ข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้น เพียงแต่บวชมาแล้ว มีครูมีอาจารย์ไหม มีสังคมที่ดีไหม หล่อหลอมลูกเราเป็นคนดีขึ้นมา

เขาถึงแสวงหากัน ดูสิพระป่าเรา บวชแล้วนะ ถ้าไม่แน่ใจครูบาอาจารย์องค์ใด ยังไม่ยอมรับนะ ยังต้องกระเสือกกระสน เหมือนเราเป็นโรค กูยังไม่ได้ยาตรงกับโรค ไปไหนก็ทาแต่ยาแดง ไปไหนก็ทาแต่ยาแดงไม่หายสักที กูขอยาที่มันหนักๆ กว่านี้หน่อยได้ไหม กูก็ไปหายาที่หนักๆ มันก็เข้าได้ นี่พูดถึง ๑๖ กัป เป็นรูปธรรม การบวชพ่อแม่จะได้อย่างนั้น เอาเลือดเนื้อเชื้อไขของเราเข้ามาสืบทอด

ทีนี้ประเพณีคนจีน เราก็คนจีนเหมือนกัน ประเพณีคนจีนบวชแล้วห้ามสึก แต่ประเพณีของคนไทยเห็นไหม ไทยใหญ่ก็บวชแล้วไม่สึกเหมือนกัน ลังกาบวชแล้วไม่สึก มันอยู่ที่ประเพณีวัฒนธรรม เราเกิดในประเพณีอย่างนี้ เพราะประเพณีของเรา เราดูจากพระไตรปิฎก เพราะสมัยพุทธกาล กษัตริย์ก็บวชไง แล้วบวชแล้วสึกๆ เราก็มีโอกาสได้ศึกษา นี่เราบวชมาจะศึกษาได้มากน้อยแค่ไหน

ทุกคนเป็นห่วงนะ บวชแล้วจะสอนอะไรผมบ้าง มึงหลับตาซิ มึงพุทโธมึงได้ๆ มา เดี๋ยวกูจะสอนเอ็งต่อ ประสาเรา เหมือนเราจะเขียนหนังสือ เราไม่มีกระดาษ ไม่มีทั้งสมุด เราจะเขียนอะไร นี่ก็เหมือนกันในเมื่อเรายังหาใจเราไม่ได้ ยังไม่รู้อะไรเลย แล้วกูจะทำยังไง แต่ที่นี่เมื่อเข้ามา เบสิคพื้นฐานทำให้ได้เถอะ แต่พระเราที่ว่าสึกไปๆ อดอาหารที ๕ วัน ๑๐ วัน เขาภูมิใจมาก เขาภูมิใจของเขา เขาภูมิใจประสบการณ์ของเขา

โยม : ตอนที่หลวงพ่อบวชนะครับ มันมีจุดอะไรที่ทำให้หลวงพ่อจะไม่สึกนะครับ มันเกิดกำลังใจยังไง

หลวงพ่อ : ไอ้เรื่องส่วนตัวนี่พูดยาก เราไม่อยากจะพูดเลย เพราะโทษนะ เราอยู่ในสังคมสงฆ์ ใครๆ ก็จะเขียนแต่ประวัติ เราไปดูแล้ว การเขียนประวัติการเชิดชูตัวเอง นั่นคือกิเลสทั้งนั้น พอเราเห็นอย่างนั้นเราถึงไม่ทำ แล้วเรามาอยู่กับหลวงตา หลวงตาท่านไม่เคยเขียนประวัติของท่านเลย แต่สุดท้ายที่มันมีกันมา เพราะลูกศิษย์เก็บคำเล่าของท่านเอามาเขียนกันขึ้นมาเอง

ถ้าเราตั้งใจว่าจะเขียนประวัติ เราอยากจะอวดว่าเรามีที่มาที่ไป มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง มองได้หลายแง่มุมมาก งั้นของเรา เราคิดว่า ถ้ายังมีชีวิตอยู่นะ เราว่าของเราเอง โดยความตั้งใจของเราเองจะไม่มี จะไม่มี แต่เราคิดของเราเองนะ ถ้าเราทำเป็นที่เชื่อถือของเขา อนาคตเขาก็ดิ้นรนกันเองนั่นล่ะ

โยม : พูดจะได้เป็นกำลังใจกับผู้บวชใหม่

หลวงพ่อ : ไม่หรอก เดี๋ยวพ่อแม่เขาจะเสียใจ บวชแล้วไม่สึก เดี๋ยวจะรู้เรื่องเลย ไม่หรอก ไอ้อย่างนี้มัน ถ้าเราพูดประสาเรา พูดถึงข้อเท็จจริงเลย ใหม่ๆ ก็ไม่ค่อยรู้ แต่มันมีอุดมคติ มันมีอุดมคติมา พอมันมีอุดมคติ ไม่ใช่มีอุดมคติแล้วจะบวชเลยนะ

อุดมคติเพราะมันเป็นคนตรงไง คนตรงคบเพื่อนมาก ทุกอย่างเพื่อนมาก เที่ยวมาก เที่ยวพอสมควรเลย แล้วมันพอเที่ยวไป เพื่อนกระทบกระทั่งกัน เราก็ช่วยเหลือ เราก็เจือจานเขาเต็มที่ แล้วมันตอบกลับมา มันลบหมดเลย มันคิดขึ้นมาในความรู้สึกนะ เฮ้ยโลกนี้อะไรมันจริงวะ คือใหม่ๆ คืออยากหาข้อเท็จจริง หาของจริง พอมันหาไปหาไม่เจอ พอมีวันหนึ่ง ไปเจอพระไง หรือว่ามันอยู่ในนี้ หรือมันอยู่ในเพศพระนี้ มันเริ่มคิด พอเริ่มคิดมันก็เริ่มหา

อย่างที่ว่าพอบวชมาแล้ว จริงจังมาก พรรษาแรกไม่นอนเลย บวชใหม่ๆ นี่เนสัชชิก ไม่นอนเลย สู้อย่างเดียว เพราะอะไรรู้ไหม เพราะหักดิบ เพราะคบเพื่อนสนิท สนิทกับเพื่อนมาก เหมือนกับเราวัยรุ่นเที่ยวเต็มที่เลยแล้วไปบวชเลย โดยที่ไม่มีอะไรเลย คิดดูสิ โอ้โฮ เหมือนตกเหว นอนไม่ได้เลย นอนไม่ได้กินไม่ได้เลย พุทโธอย่างเดียว สู้กับมัน แล้วมันเจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม ทุกข์มาก ทีนี้การปฏิบัติเราแลกมาด้วยความจริง

อย่างที่หลวงตาท่านก็ทำของท่าน ครูบาอาจารย์ท่านก็ทำของท่าน แล้วพอมาฟังโทษนะ อย่างที่สังคมเขาสอนกันอยู่ว่า ง่ายๆๆๆ นี่ ประสาเราเลย ในความรู้สึกเรานะ เหมือนกับสอนเด็กสอนลูกสอนหลานเราให้เป็นคนมักง่าย สอนสังคมให้เหลวไหล ถ้าสังคมมันเหลวไหลไปแล้ว มันเสียหาย นี่ในความรู้สึกเรานะ ที่เราออกมาพูดอยู่นี้ ก็เพราะเหตุนี้เหมือนกัน

เพราะอะไรรู้ไหม เพราะหลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ของเรา กว่าจะได้มาแลกมาด้วยชีวิตทั้งนั้นเลย แล้วบอกพวกนี้บอกว่าอยู่เฉยๆ แล้วได้มา เขาพูดผิด พูดผิด อย่างมหายาน พวกเซน ไปดูเซนเขาปฏิบัติสิ ไปดูประวัติสิ เราไปอ่านประวัติสิ เขานั่งที ๑๗ วัน เซนมหายานเขาเอาเต็มที่นะ ไอ้สว่างโพลงๆ เรียบง่ายแต่เขาทำ โอ้โฮ คนจีนจะรู้ดี ว่าพระจีนเขาปฏิบัติอย่างไร แต่นี่อ้างเขาแล้วมานั่งเล่นหมากเก็บกัน แล้วบอกว่าจะไปนิพพาน เราถึงฟังแล้ว เราบอกห่วงสังคมไทยที่พูดนี่

เพราะเวลาหนึ่งครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมาเต็มที่ แล้วเราเองเราก็แลกมาด้วย แลกมาด้วยเหงื่อไคล แลกมาด้วยความขยันหมั่นเพียร แลกมา เดินจงกรมทั้งวันๆ บางคนงงนะ ว่าเดินอย่างไรได้ทั้งวันๆ แล้วมันเบื่อมาก พอเบื่อขึ้นมา มันก็คิดถึงหลวงปู่มั่น คิดถึงพระพุทธเจ้า ทุกคนมันจำเจ แล้วมันเบื่อหน่าย ถ้าจิตมันดี มันก็พอใจ พอจิตมันทรุด จิตมันไม่เอานะ โอ๋ย มันเบื่อหน่าย

เพราะธรรมดาเห็นไหม น้ำเดือดจุดเดือดมันก็ต้องคายตัวเองเป็นธรรมดา เดี๋ยวมันก็เดือด น้ำร้อนน้ำเย็นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จิตมันก็เป็นอย่างนี้ คนปฏิบัติมันต้องเจออย่างนี้หมด มันมีแปรปรวนตลอด แล้วทำอย่างไรให้มันคงที่ แล้วบอกอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร มันคงที่เอง เขาสอนกันอย่างนี้ เราถึงแหมอะไรกันวะ นิสัยมันเป็นอย่างนี้

แต่จะบอกว่า แต่พอมันบวชมาแล้วสิ พอจิตมันได้หลักได้เกณฑ์ อย่างที่พูดทีแรก พอมันเริ่มมีหลัก แล้วมันตรวจสอบได้ ถึงอ๋อ มันต้องเป็นอย่างนี้ มันถึงเวลาของมัน อย่างเราใหม่ๆ จะไปรู้อะไรชีวิตเรา แต่พอเราดำรงชีวิตมาเต็มที่แล้ว เราย้อนกลับไปดูไง กูผิดพลาดอย่างไร กูทำอย่างไร มันดูหมด นี่พอจิตมันเริ่มมีหลัก แล้วมันได้ มันย้อนดู อ๋อถึงรู้ มันเป็นตรงนั้นด้วย มันเลยเข้าใจตัวเอง เข้าใจ

โยม : จากที่ผมลองนั่งพุทโธ ๆ มาประมาณไม่ต่ำกว่า ๓ ปีนะ

หลวงพ่อ : ว่าไป

โยม : ก็หลังจากทำเสร็จแล้ว ก็รู้สึกว่าความโกรธคือมันห่างขึ้น แล้วพอจะมีแล้วมันเห็น

หลวงพ่อ : ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนี้ ถ้าได้ทำนี่มันต้องมีผลบ้าง แต่มันมากมันน้อยแตกต่างกัน พุทโธๆ ไป มันเหมือนเรา พวกเรานะเช้ามาออกกำลังกาย วิ่งทุกวัน ร่างกายมันจะแข็งแรงไหม ถ้ามึงพุทโธๆ ไป จิตมันจะเข้มแรงขึ้นมา แล้วเอ็งไม่ทำกัน กูบอกว่ากูนอนเฉยๆ แล้วกูแข็งแรง ก้ามกูใหญ่เลย มันไม่มี

เช้าตื่นขึ้นมา เราก็ออกกำลังกายกันทุกวัน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงใช่ไหม พุทโธๆ เรารักษาจิตให้มันเข้มแข็ง จิตเรามีกำลัง จิตเราดีขึ้นมา มันเข้ามาไม่ได้ โกรธก็รู้ทัน อะไรมันก็ดีขึ้น ดีขึ้นทุกอย่างแหละ เพียงแต่เราพอพุทโธๆ แล้วจะนิพพานเลย จะเอาที่ไหน เวลาเขาบอกมึงไม่ต้องพุทโธแล้วได้นิพพานเลย ทุกคนตะครุบเลย พุทโธ ๓ ปียังไม่ได้ เขานั่ง ๒ วันได้นิพพานแล้ว ไม่วิ่งไปหาเขาล่ะ

โยม : จริงๆ ตั้งใจจะหาอยู่ (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : เขาเรียกนะ หวานเป็นลมขมเป็นยา ขมๆ มันเป็นยารักษาโรค ไปหวานเป็นลม ไปตะครุบลมไม่ได้อะไรเลย ที่เราพูดเมื่อกี้ที่สังคมไทยที่มันไม่ได้อะไร ก็จะเอาสบายไง พุทโธนะ พุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธไปเรื่อยๆ แล้วรักษามันดีๆ แล้วพอมันเกิดปัญญาขึ้นเรื่อยๆ นะ ไปดูในเว็บไซต์เรา วันนั้นเขามาถามตรงนี้ มันมาจากหนองคาย เขาบอกว่ามันจะใช้ปัญญายังไง เราบอกฝึกปัญญา เราบอกปัญญามันฝึกมาจากเรานี่แหละ ฝึกมาจากมะม่วงสุกก็มาจากมะม่วงดิบ

โทษนะวัวควายที่เขาฝึกใช้งาน เขาก็ฝึกจากวัวควายที่มันไม่เป็นนั่นแหละ แต่วัวควายที่ฝึกใช้งานได้แล้ว ราคามันจะแตกต่างจากวัวควายที่ไม่ใช้งาน จิตของเราถ้าฝึกแล้วมันเป็นอย่างนั้น มันต้องฝึก! มันต้องฝึกฝน มันต้องมีการกระทำ คนจะดีจะชั่วมันอยู่ที่การกระทำ อยู่ที่การฝึกฝนของเรา อย่าไปเชื่อเขาที่ว่ามันลอยมาจากฟ้า พุทโธมันอยู่กับจิต จิตมันมีพุทโธอยู่แล้ววิ่งไปชนมัน อย่าไปเชื่อ เราทำมาหากินยังเกือบเป็นเกือบตายเรายังเป็นอย่างนี้เลย มันบอกไม่ต้องทำมาหากิน แล้วมีตังค์ๆ มีอีกไหม จบเนาะ จบไหม เออ เอวัง